อิทธิพลของพายุโซนร้อน “คัลแมกี” กลายเป็นบททดสอบสำคัญของระบบบริหารจัดการน้ำในลุ่มเจ้าพระยาอีกครั้ง เมื่อมวลฝนจากพายุลูกนี้เทลงสู่พื้นที่ตอนบนและเหนือเขื่อนอย่างต่อเนื่อง ทำให้ปริมาณน้ำหลากไหลลงสู่แม่น้ำสายหลักอย่างมหาศาล หน่วยงานหลักอย่าง กรมชลประทาน จึงต้องเร่งปรับแผนอย่างฉับไว เพื่อป้องกันไม่ให้สถานการณ์ลุกลามซ้ำรอยน้ำท่วมใหญ่ ขณะเดียวกันยังต้องรับมือกับภาวะน้ำทะเลหนุนสูงที่ทำให้การระบายน้ำสู่ทะเลเป็นไปได้ยากขึ้น นับเป็นความท้าทาย “สองแรงกระแทก” ที่ต้องบริหารให้สมดุลทั้งระบบ
ศูนย์ปฏิบัติการน้ำอัจฉริยะ (SWOC) ของกรมชลประทาน รายงานว่า ปริมาณน้ำเหนือที่ไหลเข้าสู่แม่น้ำเจ้าพระยาเพิ่มสูงขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ จนต้องปรับอัตราการระบายน้ำผ่าน เขื่อนเจ้าพระยา จังหวัดชัยนาท จาก 2,750 ลูกบาศก์เมตรต่อวินาที เป็น 2,800 และล่าสุดเพิ่มเป็น 2,900 ลูกบาศก์เมตรต่อวินาที เพื่อรักษาเสถียรภาพของเขื่อนและรองรับมวลน้ำใหม่ การปรับเพิ่มนี้แม้จะจำเป็นต่อความปลอดภัยของระบบ แต่ก็ส่งผลโดยตรงต่อจังหวัดท้ายน้ำอย่างชัยนาท สิงห์บุรี อ่างทอง และพระนครศรีอยุธยา ที่ระดับน้ำในแม่น้ำเพิ่มขึ้นรวดเร็วและมีแนวโน้มเอ่อล้นพื้นที่ลุ่มต่ำริมตลิ่ง
สิ่งที่ทำให้สถานการณ์ครั้งนี้น่ากังวลมากขึ้น คือปริมาณน้ำกักเก็บใน 4 เขื่อนหลักของลุ่มเจ้าพระยา ได้แก่ เขื่อนภูมิพล เขื่อนสิริกิติ์ เขื่อนแควน้อยบำรุงแดน และ เขื่อนป่าสักชลสิทธิ์ ซึ่งอยู่ในระดับสูงมาก โดยเฉพาะ เขื่อนภูมิพล และ เขื่อนสิริกิติ์ ที่มีน้ำเก็บกักเกือบเต็มความจุถึง 97–98% แม้สำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติ (สทนช.) และการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) จะพยายามพร่องน้ำออกวันละ ไม่เกิน 60 ล้านลูกบาศก์เมตร เพื่อสร้างพื้นที่รับน้ำใหม่ แต่ด้วยช่วงปลายฤดูฝนที่ยังคงมีพายุเข้าอย่างต่อเนื่อง การบริหารน้ำจึงต้องอาศัยความรอบคอบขั้นสูง เพราะหากมีฝนตกหนักเกินคาด น้ำจากเขื่อนใหญ่ทั้งสองแห่งจะไหลลงสู่แม่น้ำเจ้าพระยาเพิ่มขึ้นภายใน 8–10 วัน ซึ่งอาจกลายเป็นแรงกดดันระลอกใหม่ต่อพื้นที่ลุ่มต่ำตอนล่าง
เมื่อเทียบกับ มหาอุทกภัย ปี 2554 ข้อมูลทางเทคนิคสะท้อนว่าสถานการณ์ปัจจุบันยังไม่รุนแรงเท่าปีดังกล่าว โดยอัตราการไหลผ่านสถานี C.2 จังหวัดนครสวรรค์ในปี 2554 อยู่ที่กว่า 4,500 ลูกบาศก์เมตรต่อวินาที ขณะที่การระบายน้ำสูงสุดผ่านเขื่อนเจ้าพระยาขณะนั้นสูงถึงกว่า 3,600 ลูกบาศก์เมตรต่อวินาที ซึ่งมากกว่าปัจจุบันราว 700 ลูกบาศก์เมตรต่อวินาที อีกทั้งช่องว่างในการรองรับน้ำของ 4 เขื่อนใหญ่ในปีนี้ยังมากกว่าช่วงวิกฤตในอดีต อย่างไรก็ตาม การที่อ่างเก็บน้ำหลักมีระดับเกือบเต็มในช่วงที่พายุยังถาโถมเข้าประเทศ ถือเป็นสัญญาณเตือนให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องต้องบริหารสมดุลระหว่าง “การเก็บน้ำต้นทุนเพื่อแล้งหน้า” กับ “การพร่องน้ำเพื่อความปลอดภัยในฤดูฝน” อย่างระมัดระวัง
ในเชิงปฏิบัติ กรมชลประทาน และ สทนช. ได้ขับเคลื่อนมาตรการบรรเทาผลกระทบแบบบูรณาการ โดยเร่งผันน้ำเข้า ระบบชลประทาน สองฝั่งแม่น้ำเจ้าพระยาให้เต็มศักยภาพสูงสุด รวมปริมาณผันน้ำราว 600 ลูกบาศก์เมตรต่อวินาที เพื่อดึงน้ำส่วนเกินออกจากลำน้ำหลักและเก็บไว้ใช้ในฤดูแล้ง ขณะเดียวกันมีการปรับลดการระบายน้ำ เขื่อนป่าสักชลสิทธิ์ จาก 350 เหลือ 300 ลูกบาศก์เมตรต่อวินาที เพื่อชะลอมวลน้ำที่จะสมทบกับเจ้าพระยา ช่วยลดความเสี่ยงต่อจังหวัดพระนครศรีอยุธยาและปทุมธานีซึ่งเป็นจุดรับแรงดันน้ำโดยตรง
นอกจากการบริหารน้ำในเขื่อนแล้ว กรมชลประทานยังเร่งเดินหน้าติดตั้งเรือผลักดันน้ำและสถานีสูบน้ำตามแนวคลองชายทะเล เพื่อเร่งระบายน้ำส่วนเกินออกสู่ อ่าวไทย และ แม่น้ำบางปะกง โดยเลือกดำเนินการในช่วงน้ำทะเลลง เพื่อลดผลกระทบจากภาวะน้ำหนุนสูง การบริหารจัดการน้ำในครั้งนี้จึงไม่เพียงเป็นการระบายเชิงปริมาณ แต่ต้องอาศัย “จังหวะเวลา” ที่แม่นยำ และการประสานงานแบบเรียลไทม์ระหว่างหน่วยงานต่าง ๆ ทั้งกรมชลประทาน ผู้ว่าราชการจังหวัด และกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย (ปภ.) เพื่อแจ้งเตือนประชาชนในพื้นที่เสี่ยงให้เตรียมความพร้อมล่วงหน้า
การเผชิญกับพายุ "คัลแมกี" ในช่วงที่ปริมาณน้ำในอ่างเก็บน้ำหลัก 4 แห่งของลุ่มเจ้าพระยายังอยู่ในเกณฑ์สูง สะท้อนถึงความท้าทายในการบริหารจัดการน้ำหลากของประเทศ และเน้นย้ำถึงความจำเป็นที่ทุกภาคส่วนต้องติดตามข้อมูลสถานการณ์น้ำจากกรมชลประทานอย่างต่อเนื่อง เพื่อรับมือกับวิกฤตที่อาจส่งผลกระทบต่อวิถีชีวิตและทรัพย์สินในพื้นที่ลุ่มน้ำเจ้าพระยาตอนล่างต่อไป








