บอย อินชัวร์
เป็นเวลาร่วม 5 ปีแล้ว ต้องยอมรับว่ายังเดินไปไม่ถึงฝั่งเลย นับตั้งแต่มีคำสั่งนายทะเบียนคือเลขาธิการสำนักงานคณะกรรมการกำกับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย (คปภ.) ได้คลอดประกาศคำสั่งตั้งแต่ปี 2562 และให้เวลาบริษัทที่รับประกันสุขภาพทั้งประกันชีวิตและประกันวินาศภัยได้ปรับตัวกันเป็นเวลา 2 ปี ก่อนใช้แบบประกันสุขภาพฯมาตรฐานใหม่ (New health standard) โดยถือฤกษ์งามยามดีออกมาบังคับใช้วันที่ 8 พฤศจิกายน 2564
โดยแบบประกันชนิดใหม่ตัวนี้มีข้อดีกล่าวคือ บริษัทประกันทุกบริษัทจะต้องยึดเงื่อนไขเดียวกัน ห้ามยกเลิกหรือปฏิเสธการขอต่อสัญญารับประกันลูกค้าที่เอาประกันหรือต่ออายุทุกประการ แม้จะพบว่าป่วยด้วยโรคร้ายแรงหรือใด ๆ ระหว่างต่ออายุสัญญากธ. ทั้งที่สัญญาประกันสุขภาพมีเงื่อนไขอย่างที่ทราบกันทั่วไปว่าเป็นสัญญาปีต่อปี ซึ่งถ้าเป็นแบบเดิมปกติจะเปิดช่องให้สามารถยกเลิกการต่ออายุ "กธ." ได้ แต่ New health standard ไม่อาจทำได้
ทว่า ปัญหามีอยู่ว่า ตลอด 5 ปีมานี้ คปภ. และ บ.ประกันไม่สามารถจัดระเบียบในการโน้มน้าวแบบประกันเดิมที่ออกมาก่อนวันที่ 8 พฤศจิกายน 2564 ให้ลูกค้าคล้อยตามหรือกลับตัวกลับใจมาเข้าสู่โหมด New health Standard ทั้งหมดได้ ซึ่งก็มีลูกค้าที่ถือครองกธ.เก่าจำนวนมากยังไม่ยอมปรับเปลี่ยน แม้จะเปิดโอกาสให้ลูกค้ามีทางเลือกว่าจะถือกรมธรรม์เนื้อหาเดิม หรือจะเริ่มกับประกันสุขภาพตัวใหม่ โดยถือเป็นการทำสัญญาต่อเนื่อง ซึ่งขณะนั้นเปิดโอกาสเป็นระยะเวลาร่วมปี โดยไม่ต้องพิจารณาตรวจสุขภาพใหม่ หรือลูกค้ามีโรคอยู่แล้วก็สามารถต่ออายุประกันได้ แต่ก็ไร้ผล เนื่องจากลูกค้าจำนวนมากทีเดียวประสงค์ไม่เข้าสู่โหมดประกันสุขภาพตัวใหม่ เพราะไม่ต้องการควักกระเป๋าจ่าย Co-payment ไปกับ บ.ประกันด้วย
จนนานวันเข้าก็เกิดปัญหากระทบกระทั่งระหว่างกันเมื่อช่วงต้นปีมานี้ก็เลยเกิดเหตุระเบิดปะทุ เพราะภาคธุรกิจประกันประสบกับบาดแผลสะสมค่าครองชีพแพงขึ้นทุกวัน จนไม่อาจต้านทานกับเงินเฟ้อค่ารักษาพยาบาลที่สถานพยาบาลชาร์จหรือเรียกเก็บแพงสูงขึ้นได้ ในที่สุดหลาย บ.ประกันต้องตัดสินใจชาร์จเพิ่มค่าเบี้ยประกันสูงลิบลิ่วกว่า 100% หรือแพงขึ้นกว่าเท่าตัวกับลูกค้า จนมีการร้องเรียนเป็นเผือกร้อนเข้าสู่สภาผู้แทนฯในที่สุด และนำพามาสู่ คปภ. ต้องเรียกหารือร่วมกับสมาคมประกันฯถึง 2 สมาคมฯ เพื่อหาทางออกเพื่อเป็นการแก้สลักระเบิดลูกนี้เรื่อยมาตลอด แต่ทว่าทั้ง คปภ. และ 2 สมาคมประกันไม่สามารถหาข้อสรุปเป็นทางออกแก้ปัญหานี้ได้
เหตุก็เพราะในฟาก คปภ. ก็มีมุมมองของตัวเองว่า กธ.ของเดิมประเภทนี้มีเงื่อนไขยึดโยงที่ว่า คงไม่สามารถปรับเพิ่มเบี้ยและเงื่อนไขใด ๆ ได้ ซึ่งจะแตกต่างกับกธ.อีกประเภทที่สามารถทำการปรับได้ และที่สำคัญอีกประการคือ การจะปรับขึ้นค่าเบี้ยเกรงจะกระทบซ้ำเติมต่อ ปชช. (ประชาชน) เนื่องจากบางรายต้องจ่ายค่าเบี้ยเพิ่มสูงขึ้นเป็นหลักเกินแสนบาทขึ้นไป เกรงจะกระทบต่อภาระหาเงินหาทองของลูกค้าเพื่อมารับผิดชอบจุดนี้ในการต่ออายุกธ. ซึ่งจำเป็นต้องให้เวลาหรือใช้เวลาในการแจ้งเตือนประชาสัมพันธ์ให้ลูกค้าได้ปรับตัวอย่างมากๆ ทีเดียว คงจะให้เวลาระยะสั้น ๆ เพียงแค่ 30 วันแจ้งเตือนคงทำไม่ได้ หากจะต้องใช้เวลาบอกกล่าวเตือนล่วงหน้าให้ผู้เอาประกันรับทราบเพื่อปรับตัวอย่างน้อย ๆ 60 วัน
ขณะที่มุมมองของ บ.ประกันต่าง ๆ หรือภาคธุรกิจต่างมองกลับกันว่า ตามหลักการมันน่าจะทำได้ การจะมีการขอปรับเบี้ยประกันเพิ่ม ธุรกิจน่าจะเสนอขอ คปภ. ได้ตามหลักการอยู่แล้ว เพราะ**กธ.ประกันสุขภาพเป็นกธ.ต่ออายุปีต่อปี หากลูกค้าไม่ยอมรับเงื่อนไขปรับเบี้ยฯเพิ่มได้ บ.ประกันย่อมสามารถขอยกเลิกการขอต่ออายุกธ.ได้
จนเหตุของความเห็นไม่ลงตัวในทางความคิดของทั้งสองดำเนินเรื่อยมาถึงจุดไคลแมกซ์ ในที่สุดเมื่อวันพฤหัสบดีที่ 6 พ.ย. ที่ผ่านมา คปภ. ได้เรียกประชุมทั้ง 2 สมาคมฯ กลับกลายเป็นว่า เกิดกระแสตื่นตัวของ บ.ประกันในเรื่องนี้อย่างมาก แทนที่จะมีเพียงตัวแทนผู้บริหารสมาคมประกันเท่านั้นร่วมเดินทางมา แต่กลับมีบริษัทประกันชีวิตและบริษัทประกันวินาศภัยทุกบริษัทตบเท้าเข้าร่วมประชุมอย่างเหนียวแน่น ทีแรกก็นึกว่าประชุมนัดนี้น่าจะได้ข้อสรุปร่วมลงเอยร่วมกันเป็นอย่างดี แต่เหตุกลับตาลปัตรกัน กลับไร้ข้อสรุปใด ๆ เป็นทางออกเรื่องนี้แต่ประการใดไม่
บทสรุปจุดนี้ จึงน่าจะเป็นอุทาหรณ์อันดีอย่างหนึ่งของการสะท้อนในความเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวของภาคธุรกิจประกันเอง ซึ่งยังขาดความร่วมมือแนบแน่นเป็นเนื้อเดียวกัน โดยเฉพาะในเรื่องของดาต้า (Data) ข้อมูลที่แต่ละบริษัทควรให้ความร่วมมือส่งสะท้อนต่อไปถึง คปภ. อย่างแท้จริง โดยแชร์ข้อมูลสะท้อนสถิติตัวเลขที่แท้จริงอย่างชัดเจน ไม่ใช่ยังกักข้อมูลตัวเลขบางส่วนกันอยู่ เพื่อหวังผลประโยชน์ทางการแข่งขันทางธุรกิจ
และที่สำคัญทั้ง คปภ. และ บ.ประกันต่างมีจุดยืนที่ต่างกันออกไป โดย คปภ. มีจุดยืนอีกแบบ ส่วน บ.ประกันก็มีจุดยืนอีกจุดหนึ่งอย่างไม่ลงรอยกัน ซึ่งอดเป็นห่วงไม่ได้ว่าธุรกิจประกันชีวิตเสี่ยงถึงทางตัน หรือต้องถูกล้มกระดานหรือเกิดพังพินาศของระบบการประกันสุขภาพบ้านเราเกิดขึ้นได้
เพราะบริษัทประกันคงไม่อาจยืนในจุดยืนกระต่ายขาเดียวในการใช้อัตราเบี้ยประกันคงเดิมสำหรับลูกค้าที่มีประวัติการเคลมประกันสุขภาพที่สูงขึ้นในท่ามกลางภาวะเงินเฟ้อค่ารักษาในชีวิตประจำวันแพงสูงขึ้นอีกต่อไปได้แล้ว โดยไม่มีการชาร์จค่าเบี้ยเพิ่ม จนจุดนี้ส่งผลกระทบต่อลูกค้าที่มีประวัติการเคลมดี ๆ ต้องมารับกรรมแทนลูกค้าประวัติเคลมไม่ดี พลอยต้องแบกภาระถูกชาร์จค่าเบี้ยไปด้วยอย่างไม่เป็นธรรม
ดังนั้นคงต้องจับตากันดูอย่ากะพริบทีเดียว เรื่องราวต่างมุมมองของรัฐและ บ.ประกันเอกชนจะหาข้อสรุปลงเอยได้ไหมและอย่างไร พอจะพบกันครึ่งทางได้ไหม เพื่อ "บัวจะได้ไม่ช้ำ น้ำจะได้ไม่ขุ่น" โดย คปภ. ยอมลดราวาศอก แล้วเห็นคล้อยตามแนวทางที่เอกชนเสนอบ้าง หากสุดท้ายแล้วต้านทานกับแรงบีบเสนอให้ปรับค่าเบี้ยสูงขึ้นไม่ไหว จำเป็นต้องปรับเบี้ย ก็ควรทยอยปรับแบบขั้นบันไดในปีต่อ ๆ ไป แทนที่จะขยับชาร์จค่าเบี้ยเพิ่มทีเดียวพรวด 150% จะดีกว่าไหม และควรจะมีความชัดเจนของความร่วมมือส่งแชร์ข้อมูลของทุกบริษัทอย่างจริงใจ เพื่อจะได้มีสถิตินำไปอ้างอิงในการพิจารณาต่อรองการชาร์จค่าเบี้ยที่เหมาะสมกันในปีถัด ๆ ไป
สุดท้ายนี้ต้องยอมรับบรรยากาศเวลานี้ช่างเคว้งคว้างเสียจริง ๆ หาก คปภ. และ 2 สมาคมประกันฯยังสะสางปมปัญหานี้ไม่ได้ ก็อาจจะเป็นชนวนระเบิดลูกใหม่ให้เกิดปะทุขึ้นมาได้ทันควัน ยิ่งในยุคโลกโซเชียลฯที่ดราม่าร้อนแรงเวลานี้เสียด้วย ก็น่าอดเป็นห่วงไม่ได้เลย








