เมื่อวันที่ 9 พฤศจิกายน 2568 ผู้สื่อข่าวรายงานจากพื้นที่อำเภอบางบาล จังหวัดพระนครศรีอยุธยา ว่าสถานการณ์น้ำท่วมในปี 2568 รุนแรงและต่อเนื่องยาวนานที่สุดในรอบหลายสิบปี โดยระดับน้ำสูงเกินกว่าปี 2554 และปี 2565 ส่งผลให้ชาวบ้านในหลายตำบลต้องอพยพขนของหนีน้ำทุกวัน โดยเฉพาะกลุ่มผู้สูงอายุที่อ่อนล้าและมีปัญหาด้านสุขภาพ
คุณยายบุญธรรม ป้องกันภัย และคุณยายประจวบ จำนงค์สอน เปิดเผยทั้งน้ำตาว่า เกิดมา 80 กว่าปี ไม่เคยลำบากเท่านี้ ต้องขนของหนีน้ำทุกวัน เรี่ยวแรงก็ไม่มี ผู้สูงอายุทุกคนลำบาก น้ำท่วมทุกตำบล วอนพ่อหลวง ร.10 ช่วยประชาชนด้วย พวกเรากำลังเหมือนจะจมน้ำตายอยู่ตรงนี้
นางบังอร คล้ายศรีโพธิ์ ตัวแทนชาวนาในพื้นที่ทุ่งแก้มลิง เปิดเผยถึงความเดือดร้อนจากสถานการณ์น้ำท่วมต่อเนื่องยาวนานกว่า 3 เดือน ว่า ชาวบ้านจำนวนมากได้รับผลกระทบทั้งในด้านที่อยู่อาศัยและการทำมาหากิน ไม่สามารถออกไปประกอบอาชีพได้ รายได้หยุดลง แต่ภาระค่าใช้จ่ายยังคงเพิ่มขึ้นทุกวัน
“ชาวบ้านริมแม่น้ำเจ้าพระยาก็เดือดร้อน ชาวบ้านในทุ่งแก้มลิงก็เดือดร้อน บ้านหลายหลังถูกน้ำท่วมถึงพื้น ไม่มีที่อยู่อาศัย ต้องอยู่กับน้ำและถุงยังชีพ รายได้เราหายไปทั้ง 3 เดือน แต่ต้องรับภาระทุกอย่างตามเดิม” นางบังอรกล่าว
นอกจากนี้ นางบังอร สะท้อนปัญหาราคาข้าวตกต่ำ พร้อมเรียกร้องภาครัฐให้ยุติการนำเข้าข้าวจากเขมรมาสวมสิทธิ์ข้าวไทย พร้อมสะท้อนว่า ราคาข้าวปีนี้ 4,000–5,000 บาทต่อเกวียนก็ถือว่าสาหัสมากแล้ว ยิ่งมาเจอปัญหาน้ำท่วมนา ก็ทำอะไรไม่ได้ อยากให้ภาครัฐช่วยพยุงราคาข้าวไทย อย่าเห็นสินค้าต่างชาติดีกว่าคนไทย ขอให้ห่วงเกษตรกรในประเทศด้วย
ด้านนางรสสุคนธ์ งามจั่นศรี ชาวบ้านในพื้นที่เดียวกัน กล่าวเพิ่มเติมถึงปัญหาค่าใช้จ่ายในการสูบน้ำเพื่อเพาะปลูกหลังน้ำลดว่า แม้กรมชลประทานจะสูบน้ำช่วยในรอบแรก แต่รอบต่อไปกลับเป็นภาระของชาวนาเอง ทั้งที่ชาวบ้านเพิ่งผ่านวิกฤตน้ำท่วมและไม่มีรายได้มาหลายเดือน
“เราไม่มีรายได้อะไรเลย แต่ต้องจ่ายค่าไฟฟ้าสูบน้ำเอง ไหนจะดอกเบี้ย ธกส. ค่าใช้จ่ายในบ้าน เงินชดเชย 9,000 บาทก็ไม่พอ เพราะน้ำปล่อยขึ้นลง 2,300 เป็น 2,700 บาทชั่วข้ามคืน เราไม่เคยชินกับน้ำ และไม่มีวันชิน พื้นบ้านหนุนจนเกือบถึงหลังคาแล้ว นอกจากนี้ ยังประสบปัญหา บ้านเรือนและโครงสร้างซ้ำเติมเข้าไปอีก เช่น ไม้พื้นบ้านผุ ปลวกขึ้น ผนังทรุด แต่การช่วยเหลือด้านวัสดุซ่อมแซมกลับไม่เพียงพอ พร้อมเสนอให้มี “กองทุนซ่อมบ้านตามความเสียหายจริง” เพื่อให้ประชาชนกลับมาใช้ชีวิตได้อย่างปลอดภัย” นางรสสุคนธ์ กล่าว
นอกจากนี้ ชาวบ้านในหลายตำบลของ อ.บางบาล อาทิ บางชะนี บางหลวง ฯลฯ เปิดเผยว่า ขณะนี้ได้ร่วมกันล่ารายชื่อเพื่อ “ถวายฎีกา” ต่อพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เนื่องจากหน่วยงานในพื้นที่ไม่ให้ความสำคัญกับความเดือดร้อนของประชาชน พร้อมทั้งย้ำว่า พวกเขาไม่ได้ต้องการเพียงถุงยังชีพหรือบะหมี่กึ่งสำเร็จรูป แต่ต้องการแนวทางการจัดการน้ำที่ยุติธรรม และมาตรการช่วยเหลือที่สอดคล้องความเสียหายจริงเพื่อให้สามารถดำรงชีวิตและประกอบอาชีพได้อย่างมีศักดิ์ศรีและยั่งยืน ทั้งนี้ หากสถานการณ์ยังไม่ได้รับการแก้ไขอย่างจริงจัง จะเดินหน้าถวายฎีกาโดยเร็วที่สุด เพื่อขอพระราชทานความช่วยเหลืออย่างเป็นรูปธรรม
นางสาวนันทนา แหวนนาค ครูโรงเรียนบางบาล และราษฎร ต.บางหัก กล่าวว่า ระดับน้ำปีนี้ทำลายสถิติ และส่งผลกระทบต่อความเป็นอยู่ของชุมชนทั้งระบบ บ้านที่ยกพื้นสูง ต้องใช้เงินหลักแสน แล้วยังต้องถมดินเพิ่ม คนแก่ขึ้นลงลำบาก อีกทั้งมีเคสผู้ป่วยฉุกเฉินในหมู่ที่ 2 ที่ไม่สามารถช่วยได้ทัน เพราะเส้นทางเข้าออกลำบาก ทำให้เกิดความสูญเสียอย่างน่าเศร้า ต้นไม้ไร่นาที่ปลูกหวังเป็นมรดกก็จมน้ำหมด อาชีพเลี้ยงวัวก็แทบสูญ ตอนนี้อยากให้เจ้าหน้าที่กรมชลประทานมาอยู่กับเรา 24 ชั่วโมง จะได้รู้ว่าการพายเรือเข้าบ้านทุกวันเพื่อแค่ใช้ชีวิตมันเป็นยังไง
ด้าน กำนันสามารถ ทองงาม กำนันตำบลบางหลวงโดด กล่าวเพิ่มเติมว่า ปีนี้เป็นรอบน้ำที่ 3 และรุนแรงที่สุดการบริหารจัดการน้ำเป็นหัวใจสำคัญ ชาวบ้านไม่ได้ต้องการถุงยังชีพ แต่ต้องการระบบการเดินทางและมาตรการป้องกันที่เป็นรูปธรรม ไม่ใช่ปล่อยน้ำ 2,500–2,800 ลูกบาศก์เมตรต่อวินาทีโดยไม่ประเมินผลล่วงหน้า ที่ผ่านมาอ้างทะเลหนุนตลอด ทั้งที่เมื่อพนังป่าโมกพัง น้ำก็ลดลงทันที สะท้อนปัญหาการจัดการน้ำไม่ตรงจุด เช่นเดียวกับ นายสมควร ฉัตรธรรม ผู้ใหญ่บ้าน ม.4 ต.ทางช้าง ซึ่งอยู่ใกล้ประตูระบายน้ำคลองตานึ่งซึ่งถูกกระแสน้ำพัง กล่าวว่า ชาวบ้านแช่น้ำมา 4 เดือนแล้ว ราคาข้าวตกต่ำ แต่ก็ต้องทำเพราะทำมานาน จะเลิกก็ไม่มีทางเลือก อยากให้รัฐช่วยกระจายน้ำให้เป็นธรรม ลดภาระเกษตรกร ไม่ใช่ให้คนปลายน้ำรับเคราะห์ฝ่ายเดียว
ชาวบ้านย้ำว่า สิ่งที่ต้องการเร่งด่วนคือ ระบบป้องกันน้ำท่วมและการบริหารจัดการน้ำเชิงรุก, เส้นทางสัญจรทางบก/ทางน้ำที่ปลอดภัย, การสนับสนุนผู้สูงอายุและผู้ป่วยในพื้นที่ท่วมขัง, มาตรการเยียวยาภาคเกษตรและปศุสัตว์ สถานการณ์ยังคงต้องจับตาอย่างใกล้ชิดในทุกพื้นที่ลุ่มเจ้าพระยา โดยเฉพาะช่วงมรสุมปลายปีนี้
นายสันติ จียะพันธ์ หัวหน้าโครงการวิจัยเรื่อง การเสริมสร้างความเข้มแข็งกลไกการบริหารจัดการน้ำในพื้นที่ทุ่งรับน้ำ กล่าวถึงสถานการณ์น้ำท่วมซ้ำซากในพื้นที่อำเภอบางบาล จังหวัดพระนครศรีอยุธยา ว่าเป็นปัญหาที่เกิดขึ้นต่อเนื่องมานานหลายปี ซึ่งลักษณะน้ำท่วมในปัจจุบันถือว่าผิดธรรมชาติ เนื่องจากระบบบริหารจัดการน้ำของประเทศในช่วง 20–30 ปีที่ผ่านมา ได้ปรับเปลี่ยนจากการปล่อยน้ำไหลกระจายตามลำคลองสาขาไปสู่พื้นที่รับน้ำธรรมชาติ มาเป็นการเร่งระบายน้ำจากแม่น้ำเจ้าพระยาลงสู่อ่าวไทยโดยตรงผ่านระบบประตูระบายน้ำหลัก ทำให้น้ำไหลลงตามเส้นทางเดียว และไม่สามารถกระจายน้ำออกข้างได้อย่างสมดุลเหมือนในอดีต
นายสันติ อธิบายว่า พื้นที่ทุ่งรับน้ำสองฝั่งแม่น้ำ โดยเฉพาะด้านตะวันออกซึ่งมีนิคมอุตสาหกรรมกระจุกตัว เช่น นิคมอุตสาหกรรมโรจนะ ได้มีการเสริมคันกั้นน้ำและยกระดับถนน รวมถึงสร้างประตูน้ำหลายจุดเพื่อป้องกันไม่ให้น้ำเข้าทุ่ง ทำให้ชุมชนที่อาศัยริมแม่น้ำเจ้าพระยาและแม่น้ำน้อยต้องรับน้ำแทน ส่งผลให้บางพื้นที่ท่วมสูงและท่วมนานขึ้นทุกปี ขณะที่พื้นที่ทุ่งอุตสาหกรรมกลับไม่ถูกน้ำท่วม
“เป็นการบริหารจัดการน้ำที่ไม่เป็นธรรม ผู้ที่อยู่ในที่ลุ่มต่ำสัมผัสผลกระทบเต็ม ๆ แต่ระบบป้องกันกลับไปยืนอยู่เพื่อคุ้มครองพื้นที่อุตสาหกรรมเป็นหลัก” นายสันติกล่าว
สำหรับทางออก นายสันติเสนอ 3 แนวทาง ได้แก่ 1. ต้องกำหนดระดับน้ำที่ยอมรับร่วมกัน เช่น ระดับน้ำไม่ควรเกินปริมาณที่กำหนดในแต่ละปี และต้องกำหนดหลักเกณฑ์การปล่อยน้ำจากเขื่อนเจ้าพระยาอย่างโปร่งใส 2. ฟื้นฟูระบบลำคลองสาขา ขุดลอก ควบคุมวัชพืช และ “เปิดทางระบายน้ำเข้าทุ่ง” อย่างมีแผน ไม่ใช่ปิดกั้นทั้งหมด 3. หากจำเป็นต้องให้ชุมชนในพื้นที่ลุ่มต่ำรับน้ำ ต้องมีมาตรการช่วยเหลือที่ “ยุติธรรมและเพียงพอ” ทั้งการชดเชยความเสียหายตามจริงและโครงการพัฒนาที่อยู่อาศัยเพื่อ “อยู่กับน้ำได้” เช่น โครงการยกบ้าน ยกระดับถนน ทำสะพานลอยน้ำ หรือระบบบ้านลอยคล้ายที่ประเทศเนเธอร์แลนด์ เพื่อลดผลกระทบต่อคุณภาพชีวิตของประชาชน
“การจ่ายชดเชยเดือนละ 9,000 บาทเป็นเวลา 3 เดือน ไม่สะท้อนความเสียหายที่แท้จริง ทั้งในมิติชีวิต เศรษฐกิจ และอาชีพ เราต้องมีกลไกที่เป็นธรรมและยั่งยืนกว่าเดิม” นายสันติย้ำ
ทั้งนี้ แนวคิดเขื่อนเจ้าพระยาสองหรือการเปิดทางระบายน้ำสายใหม่ยังอยู่ระหว่างการศึกษาผลกระทบ หากมีช่องทางระบายเพิ่ม จะช่วยลดความเสี่ยงต่อเมืองและนิคมอุตสาหกรรม พร้อมเพิ่มศักยภาพการกักเก็บน้ำเพื่อใช้ในฤดูแล้ง แต่ต้องพิจารณาผลกระทบต่อชุมชนอย่างรอบด้านและรับฟังความคิดเห็นของประชาชนในพื้นที่เป็นสำคัญ








