วันที่ 9 พฤศจิกายน 2568 ความคืบหน้าการสร้างรั้วชายแดน พื้นที่หน่วยเฉพาะกิจนาวิกโยธินจันทบุรี (ฉก.นย.จันทบุรี) ในการกำกับดูแลของกองบัญชาการป้องกันชายแดนจันทบุรีและตราด (กปช.จต.) กระทรวงการต่างประเทศ ทั้ง 2 ฝ่าย โดยฝ่ายไทย นายประศาสน์ ประศาสน์วินิจฉัย หัวหน้าคณะกรรมาธิการเขตแดนร่วม (เจบีซี) ได้ลงนาม และทางฝ่ายกัมพูชา ได้พิจารณารับรองเอกสารทางเทคนิค (Technical Instruction: TI)
สำหรับการสำรวจและติดตั้งหลักเขตแดนชั่วคราวระหว่างหลักเขตที่ 52–59 ซึ่งเป็นขั้นตอนที่ 1-2 เรียบร้อยแล้ว ในขั้นต่อไปจะดำเนินการ ขั้นที่ 3 คือ การสำรวจแนวเขตและปักหลักเขตชั่วคราว โดยได้นัดกับทางฝ่ายกัมพูชา มาดำเนินการในเร็ววันนี้
ขั้นที่ 1 รับรองกรอบอำนาจตามอนุสัญญาชายแดนไทย-กัมพูชา พื้นที่ชายแดนจังหวัด จันทบุรี-ตราด โดยต้องเห็นชอบยืนยันว่าพื้นที่หลักเขต 52–59 เป็น “แนวเขตที่ตกลงร่วมแล้ว (Agreed Boundary Line)”โดยทาง JBC มีมติหรือออก “หนังสืออนุมัติหลักการ” ให้สามารถก่อสร้างรั้วในแนวเส้นดังกล่าวได้ พร้อมแต่งตั้ง “คณะอนุกรรมการด้านเทคนิค (Technical Sub-Committee)” เพื่อควบคุมงานในระดับปฏิบัติ
ขั้นที่ 2 ให้ทั้ง 2 ฝ่ายจัดทำข้อตกลงทางเทคนิค (Technical Instruction – TI) ฉบับปรับแก้ โดยมีกรมแผนที่ทหาร พร้อมคณะสำรวจร่วมไทย–กัมพูชา โดยนำ TI ฉบับเดิม (ที่คณะสำรวจลงนามแล้ว) มาปรับข้อความให้ชัดเจนว่า การสำรวจและปักหลักชั่วคราวเป็นเพียงเพื่อ วางแนวรั้วตามเส้นตรงระหว่างหลักเขตที่ตกลงแล้วเท่านั้น
ขั้นที่ 3 เป็นการสำรวจแนวเขตและปักหลักเขตชั่วคราว โดยชุดสำรวจร่วมไทย–กัมพูชา ใช้เครื่องมือรังวัดสัญญาณดาวเทียม GPS/GNSS เทคนิค RTK และ Total Station เพื่อยืนยันแนวเขตแดนที่เป็นเส้นตรง ระหว่างหลักเขตแดนที่ 52–59 พร้อมปักหมุดชั่วคราว (Temporary Markers)” ทุกระยะ 50–100 เมตร เพื่อใช้เป็นแนวอ้างอิงแนวเขตแดน
การบินถ่ายภาพทางอากาศด้วยอากาศยานไร้คนขับ(Drone) เพื่อใช้เป็นข้อมูลประกอบในการจัดทำแผนผัง พร้อมทั้งการจัดทำแผนผังสนาม ซึ่งประกอบด้วยข้อมูลตำแหน่งหลักเขตแดนที่ 52-59 ตำแหน่งหมุดชั่วคราว และข้อมูลภาพถ่ายทางอากาศ ตามมาตราส่วนที่ทั้งสองฝ่ายตกลงกัน จากนั้นให้จัดทำรายงานผลการสำรวจและปักหมุดชั่วคราว ระหว่างหลักเขตแดนที่ 52-59 พร้อมทั้งแผนผังสนาม และบัญชีค่าพิกัดหมุดชั่วคราวระหว่างหลัก 52-59 จากนั้นให้จัดทำรายงานผลให้ OG JTSC และ JBC พิจารณาและรับรอง
สำหรับ“แนวเขตจริงในภาคสนาม” ที่ผ่านการยอมรับจากทั้งสองประเทศ แนวเขตแดนมีความชัดเจน ลดปัญหาการเผชิญหน้าของกองกำลังทั้งสองฝ่าย และใช้เป็นแนวอ้างอิงในการสร้างรั้ว ซึ่งขณะนี้ทั้งไทยและกัมพูชา ได้เดินมาถึงขั้นตอนที่ 3 ในการเดินสำรวจและปักหมุดพร้อมกัน โดยคาดว่าจะใช้เวลาประมาณ 10-15 วัน ขึ้นอยู่กับสภาพพื้นที่ในแต่และหลักเขต บางพื้นที่เป็นพื้นที่ราบ บางพื้นที่เป็นพื้นที่สูง และยังต้องคอยระวังในเรื่องของทุ่นระเบิดที่อาจจะหลงเหลืออยู่ในพื้นที่อีก จึงต้องมีหน่วยทหารช่างของทั้ง 2 ประเทศเป็นผู้กุยทางในการปักหมุดก่อน
จากนั้นเป็นขั้นที่ 4 เป็นการจัดทำและลงนาม “บันทึกข้อตกลงการก่อสร้างรั้ว (MOU on Border Fence Construction) โดยมีหน่วยงานรับผิดชอบ อาทิ กระทรวงกลาโหม / กองทัพเรือ / JBC ร่วมกับกระทรวงมหาดไทย ซึ่งก็ต้องนำข้อมูลที่ทั้ง 2 ฝ่ายเห็นชอบทั้งหมดจากขั้นตอนที่ 1-3 มาจัดทำร่าง MOU กำหนดเพื่อป้องกันการลักลอบ การตัดไม้ การลำเลียงผิดกฎหมาย “รั้วควบคุมการผ่านแดน” ไม่ใช่ “เส้นเขตแดนใหม่”
สำหรับการบำรุงรักษารั้ว ต้องดูแลร่วมกันโดยคณะกรรมการชายแดนส่วนภูมิภาค (RBC) ทำเสนอผ่านกระทรวงการต่างประเทศเพื่อให้ JBC รับรองก่อนลงนามจริง จากนั้นทำเป็นเอกสารข้อตกลงระดับรัฐต่อรัฐ (MOU) รับรองการสร้างรั้ว ปฏิบัติการได้ถูกต้องตามอนุสัญญาชายแดน 1907 และ MOU ปี 2000
ขั้นที่ 5 ดำเนินการก่อสร้างและตรวจรับร่วม ในพื้นที่ชายแดนจันทบุรี-ตราด หน่วยรับผิดชอบหลักกองทัพเรือ (กปช.จต./หน่วยเฉพาะกิจนาวิกโยธินจันทบุรี / หน่วยก่อสร้างร่วมไทย–กัมพูชา) รั้วชายแดนถูกสร้างอย่างถูกต้องตามขั้นตอนทางกฎหมาย, ปลอดภัย, และได้รับการยอมรับจากทั้งสองประเทศ








