"จุลพันธ์" หัวหน้าพรรคเพื่อไทย ส่งสัญญาณความพร้อมเลือกตั้งครั้งหน้า ยืนยันพรรคคัดสรรผู้สมัครอย่างพิถีพิถัน สัมภาษณ์เข้มข้นถึง 5 คนต่อเขต เน้นผู้มี "อุดมการณ์" และ "โอกาสชนะ" เผยมีผู้สมัครคุณภาพสูงจากทั้งทีมงานเบื้องหลังและออนไลน์ มั่นใจนโยบายเดิมที่ยังคงตรึงใจประชาชนกว่า 90% แม้จะถูกมองว่าเพลี่ยงพล้ำ แต่ประกาศเป้าหมายชัดเจน จะใช้ 30-35% ของคะแนนเสียงที่ยังไม่ตัดสินใจ เป็นฐานชัยชนะครั้งนี้
วันที่ 7พ.ย.2568 เวลา 11.00 น.ที่พรรคเพื่อไทย นายจุลพันธ์ อมรวิวัฒน์ สส.เชียงใหม่ และหัวหน้าพรรคเพื่อไทย ให้สัมภาษณ์ถึงการคัดสรรผู้สมัครและความพร้อมของพรรคเพื่อไทยว่า พรรคได้ดำเนินการคัดสรรผู้สมัครอย่างพิถีพิถัน โดยแต่ละเขตเลือกตั้งมีการสัมภาษณ์ผู้สมัครไม่ต่ำกว่า 3-5 คน ผู้ที่ได้รับคัดเลือกจะต้องมีอุดมการณ์และแนวความคิดที่ตรงกัน รวมถึงต้องสนับสนุนแนวความคิดและยุทธศาสตร์ของพรรคมาโดยตลอดผู้สมัครในครั้งนี้มีความหลากหลายอย่างมาก ประกอบด้วยผู้ที่เป็นเครือข่ายเก่า ผู้ที่เคยลงสมัครรับเลือกตั้งและเคยเป็น สส. มาก่อน ตลอดจนผู้ที่ไม่เคยผ่านการเลือกตั้งใด ๆ เลย ผู้ที่ไม่เคยผ่านการเลือกตั้งเหล่านี้มีที่มาหลายรูปแบบ บางท่านทำงานกับพรรคมาอย่างยาวนานในลักษณะของการเป็นทีมซิงก์แทงก์ เป็นนักคิด หรือผู้ช่วยด้านนโยบายซึ่งทำงานอยู่เบื้องหลัง เมื่อพรรคเห็นถึงแววและความสามารถ และบุคคลเหล่านั้นประสงค์จะลงสมัคร พรรคจึงได้ทำการคัดสรรพวกเขามาเป็นผู้สมัคร นอกจากนี้ ยังมีผู้สมัครบางท่านที่ส่งใบสมัครผ่านระบบออนไลน์ ซึ่งเป็นผู้ที่มีศักยภาพสูงมากจนทำให้ทางพรรคประหลาดใจว่าทำไมจึงเพิ่งได้พบกัน
นายจุลพันธ์ กล่าวว่า หลักเกณฑ์สำคัญในการคัดเลือกผู้สมัครของพรรคเพื่อไทย คือ 1. เรื่องอุดมการณ์ และ 2. โอกาสในการได้รับการเลือกตั้งเป็น ส.ส. จากการคัดสรรอย่างละเอียดถี่ถ้วน ทำให้บุคลากรที่พรรคเปิดตัวไปแล้วเป็นผู้ที่เชื่อมั่นว่าสามารถแข่งขันได้ และมีโอกาสสูงที่จะชนะการเลือกตั้ง ปัจจุบันพรรคได้เปิดตัวผู้สมัครไปแล้ว 265 เขตเลือกตั้ง ซึ่งเป็นการส่งสัญญาณว่าพรรคมีความพร้อมสำหรับการเลือกตั้งที่จะมาถึง
"พรรคยังเชื่อมั่นในสิ่งที่ได้ทำมา โดยเฉพาะนโยบายที่ยังคงติดตราตรึงใจของพี่น้องประชาชนกว่า 90% ของนโยบายเหล่านี้มาจากพรรคไทยรักไทย พรรคพลังประชาชน และพรรคเพื่อไทย พรรคยังคงยึดมั่นในการทำนโยบายที่ดีให้กับประชาชน และเชื่อว่าเป้าหมายในการชนะการเลือกตั้งครั้งที่จะมาถึงสามารถบรรลุได้”นายจุลพันธ์ กล่าว
เมื่อถามว่าบุคคลในครอบครัวเดียวกันพ่อลูกอยู่คนละพรรคจะมีปัญหาหรือไม่ หัวหน้าพรรคเพื่อไทย กล่าวว่า ถือเป็นเรื่องปกติในระบอบประชาธิปไตยไม่ว่าจะในประเทศไทยหรือที่ใดในโลก อย่างไรก็ตามผู้ที่มาร่วมกับพรรคทุกคนยืนยันในอุดมการณ์และมีความรักมั่นในพรรคเพื่อไทย พร้อมที่จะก้าวเดินไปด้วยกัน ยกตัวอย่างกรณีของนายภูมิพัฒน์ โหสกุล หรือ(น้องโค้ก) บุตรชายของนายการุณ โหสกุล อดีตสส.กทม.พรรคเพื่อไทย ดซึ่งเป็นบุตรที่บรรลุนิติภาวะแล้ว และได้ทำงานเคียงบ่าเคียงไหล่กับพรรคมานานกว่า 10 ปี พรรคเห็นถึงความตั้งใจและมองว่าคุณภูมิพัฒน์มีความพร้อมมากที่สุดในการลงสมัครรับเลือกตั้ง
หัวหน้าพรรคเพื่อไทย กล่าวว่า นอกจากนี้ แม้ในทางกฎหมายจะไม่มีข้อห้ามในการสลับตัวผู้สมัคร แต่โดยหลักการแล้วคงไม่มีการสลับ ณ วันที่เปิดตัว พรรคจะเรียกว่า ผู้ประสงค์จะเสนอตัวสมัครรับเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร" เนื่องจากยังมีกระบวนการที่ต้องดำเนินการให้ครบถ้วนก่อน กระบวนการเหล่านี้รวมถึงการติดตามกระแสตอบรับจากประชาชน การประเมินความขยันหมั่นเพียรในการทำงานกับประชาชน และที่สำคัญที่สุดคือการผ่านกระบวนการไพรมารี ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของการตรวจการบ้านร่วมกันระหว่างพรรคและบุคลากร อย่างไรก็ตามส่วนผู้ที่มองว่าพรรคเพื่อไทยอาจอยู่ในภาวะเพลี่ยงพล้ำ ซึ่งเป็นสิ่งที่ยอมรับได้ เนื่องจากสถานะของพรรคเปลี่ยนจากการเป็นแกนนำจัดตั้งรัฐบาลมาเป็นพรรคฝ่ายค้าน และไม่ได้เข้าร่วมในกระบวนการ MOA จัดตั้งรัฐบาล แม้จะถูกมองว่าเพลี่ยงพล้ำ แต่กระแสความนิยมของพรรคในแต่ละภูมิภาคก็ยังคงอยู่ในระดับ 20% ซึ่งไม่ได้ตกลงอย่างมีนัยสำคัญ
"ยังมีประชาชนที่ยังไม่ได้ตัดสินใจเลือกพรรคใด ๆ อีกประมาณ 30-35% ซึ่งเป็นโอกาสสำหรับพรรคเพื่อไทยที่จะทำงานและชนะใจประชาชนด้วยนโยบาย บุคลากร และแคนดิเดตที่มีอยู่ พรรคมองว่าผลโพลต่าง ๆ เป็นเพียงเครื่องเตือนใจ แต่สิ่งที่สำคัญที่สุดคือการพัฒนาบุคลากรและการคัดสรรบุคคลให้อยู่ในจุดที่ดีที่สุดเพื่อให้ประชาชนตัดสินใจเลือกพรรค"หัวหน้าพรรคเพื่อไทย กล่าว








