วันที่ 6 พ.ย.68 นายศึกษิษฏ์ ศรีจอมขวัญ โฆษกพรรคเพื่อไทย ร่วมเสวนาเวทีสาธารณะภายใต้หัวข้อ “MOU สหรัฐฯ เหมืองแร่จีน หายนะไทย: ห่วงโซ่อุปทานแร่สำคัญ (Critical Minerals) ในลุ่มน้ำกก โขง สาละวิน: นโยบายพรรคการเมืองและข้อเสนอพรรคประชาสังคม“ จัดโดย มูลนิธินิติธรรมสิ่งแวดล้อม (EnLaw)
นายศึกษิษฏ์กล่าวว่า MOU เรื่องแรร์เอิร์ธกับสหรัฐอเมริกา ได้ตัดประชาชนออกจากสมการ ซึ่งฝ่ายรัฐบาลไทยต้องมีการศึกษาข้อเสนอที่ทางสหรัฐอเมริกาเสนอมา โดยต้องให้หน่วยงานของรัฐ กระทรวงที่เกี่ยวข้อง ให้ความเห็นถึง MOU ฉบับบนี้ แต่ปรากฏว่าไม่มีความเห็นจากหน่วยงานใดๆ ออกเป็นเอกสาร มีเพียงแต่รายงานการประชุม 1 หน้า ซึ่งไม่เคยปรากฏมาก่อน
โฆษกพรรคเพื่อไทย กล่าวอีกว่า รัฐบาลไม่มียุทธศาสตร์ชัดเจน ที่ไปลงนาม MOU ฉบับนี้ จะเอามาช่วยอะไรให้กับประเทศไทย หรือแลกเปลี่ยนผลประโยชน์ด้านใด จึงเป็นการเซ็นแบบให้เปล่า ต่อมาประเด็นเรื่องความน่าเชื่อถือ โดยนายกฯ อนุทิน ไปเซ็นมาแล้วกลับมาบอกว่าจะยกเลิกเมื่อไหร่ก็ได้ แสดงว่าความน่าเชื่อถือจากฝั่งไทยเป็นศูนย์ รวมไปถึงการเลือกจุดยืนทางภูมิรัฐศาสตร์ ที่มีความขัดแย้งเรื่องแรร์เอิร์ธระหว่างสหรัฐอเมริกา กับจีน ว่าใครจะเป็นผู้ครอบครองห่วงโซ่อุปทานใหญ่ทั้งหมดได้ ซึ่งเป็นเรื่องน่ากังวลที่ไทยให้ความตกลงกับสหรัฐอเมริกาเป็นลำดับแรก ซึ่งเป็นการเลือกข้างไปแล้ว
อีกทั้งการให้สหรัฐอเมริกาเป็นลำดับแรก จะทำให้ห่วงโซ่อุปทานภายในประเทศมีปัญหา เนื่องจากมีการลงทุนรถยนต์ไฟฟ้าจากประเทศจีน ญี่ปุ่น ซึ่งจะเกิดความขัดแย้งได้ ต่อมาบริษัทจากออสเตรเลียมีการเข้ามาสำรวจแรร์เอิร์ธหลายพื้นที่ในประเทศแล้ว จะต้องอย่างไรต่อ เมื่อให้การตกลงให้ข้อมูลกับทางอเมริกาเป็นลำดับแรก
โฆษกพรรคเพื่อไทย กล่าวถึงข้อสังเกตในการเซ็น MOU ตัวนี้คือ 1.ความไม่โปร่งใสของรัฐบาล ไม่มีการเปิดเผยข้อมูลให้ประชาชนรับทราบ หน่วยงานราชการที่เกี่ยวข้องยังไม่มีความเห็น 2.ความหน้าเชื่อถือของรัฐบาล ในสายตานานาชาติอยู่ตรงไหน
“การเซ็น MOU นี้ เสียหายมากต่อประเทศ ทั้งตัวเนื้อหา วิธีการที่รัฐบาลทำ จนกระทั่งทุกวันนี้ยังไม่เห็นความโปร่งใส สิ่งที่เซ็นไปประเทศไทยได้ประโยชน์อะไรกลับคืนมา ความเสียหายเกิดขึ้นแล้วคงกลับไปแก้ไขอะไรไม่ได้แล้ว ถ้าพรรคเพื่อไทยเป็นรัฐบาลเราจะนำตรงนี้ไปเจรจาเรื่องการลดภาษีนำเข้าสหรัฐฯเพิ่มเติม และมีแนวทางชัดเจนในการปกป้องสิ่งแวดล้อมของประเทศ“ นายศึกษิษฏ์กล่าว
อย่างไรก็ตาม แรร์เอิร์ธเป็นโอกาสแห่งอนาคต ตนเข้าใจการทำเหมืองแร่มีความอ่อนไหว แต่ต้องยอมรับว่าถ้ามีทรัพยากรธรรมชาติในประเทศ ที่จะสามารถยกระดับเศรษฐกิจของประเทศได้ พาประเทศไปสู่เศรษฐกิจแห่งอนาคต ก็ควรมีการศึกษา วิจัย และเตรียมพร้อมเรื่องผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อม
“ทางพรรคเพื่อไทยไม่ได้ติดขัดเรื่องการศึกษา วิจัย สำรวจเรื่องแรร์เอิร์ธ เพราะอุตสาหกรรมในอนาคตจะต้องใช้ประโยชน์อยู่แล้ว ประเทศชาติได้ประโยชน์สูงสุด โดยกระทบต่อสิ่งแวดล้อมน้อยที่สุด“ โฆษกพรรคเพื่อไทยกล่าว








