ในห้วงเวลาที่อุณหภูมิการเมืองเริ่มร้อนขึ้นทุกขณะ บรรดาพรรคการเมืองต่างก็เร่งขยับหมากเพื่อเตรียมเข้าสู่โหมดเลือกตั้งเต็มตัว กระแสข่าว ความเคลื่อนไหวในสภา และการอภิปรายที่ดูเผ็ดร้อนขึ้นทุกวัน ล้วนสะท้อนว่า “เกมใหญ่” ได้เริ่มขึ้นแล้ว และเกมนี้ไม่ใช่เพียงการชิงอำนาจเท่านั้น หากแต่ยังเป็นศึกของการชิง “กระแส” และ “ภาพลักษณ์” ที่จะชี้เป็นชี้ตายต่ออนาคตของแต่ละพรรค
ปรากฏการณ์ “ทุนเทา–สแกมเมอร์–ฟอกเงิน” ที่โหมสะพัดอยู่ในขณะนี้ จึงดูไม่ต่างจากคลื่นข่าวที่หลายคนเริ่มตั้งคำถามว่า มันคือการ “ปราบปรามอาชญากรรมข้ามชาติ” อย่างแท้จริง หรือคือการ “ตีฟูทางการเมือง” เพื่อหวังผลการเลือกตั้งในปีหน้า
ในรัฐสภา การอภิปรายเรื่องแก๊งสแกมเมอร์และการค้ามนุษย์ถูกยกระดับจนกลายเป็นญัตติด่วน ขณะที่ฝ่ายค้านโดยเฉพาะ “รังสิมันต์ โรม” ส.ส. พรรคประชาชน ใช้เป็นเวทีเปิดข้อมูลใหญ่ ใส่รัฐบาลแบบไม่ไว้หน้า โดยกล่าวว่าแม้รัฐบาลจะประกาศให้การปราบสแกมเมอร์เป็น “วาระแห่งชาติ” แต่ก็ยังไร้ผลลัพธ์ที่เป็นรูปธรรม พร้อมเตือนแรงว่า “ประเทศไทยอาจกลายเป็นศูนย์รวมอาชญากรรมเหมือนกัมพูชา” คำพูดนั้นนอกจากดังก้องในสภาแล้ว ยังถูกขยายผลในสื่อกระแสหลักทันที
รัฐบาลเองพยายามตอบโต้ด้วยการโชว์ผลงาน ทั้งการยึดทรัพย์ การถอนสัญชาติขาใหญ่จากแก๊งต่างชาติ และการร่วมมือกับประเทศเพื่อนบ้านในการกวาดล้างขบวนการฟอกเงิน แต่นั่นดูจะไม่เพียงพอที่จะดับไฟสงสัยของฝ่ายค้าน ที่ยังคงโยนคำถามกลับไปว่า “นายกรัฐมนตรีกำลังจงใจเกียร์ว่างหรือไม่” เพราะมีการตั้งข้อสังเกตว่าเรื่องนี้อาจพัวพันกับบุคคลระดับสูงในรัฐบาลเอง
ขณะเดียวกัน ข่าวการพาดพิงนักการเมืองไทยกว่า 7 คนว่าอาจมีเอี่ยวกับเครือข่ายสแกมเมอร์และเว็บพนัน ถูกขยายผลในทุกแพลตฟอร์ม สื่อบางสำนักเล่นข่าวอย่างต่อเนื่อง ขณะที่ “นายอัจฉริยะ เรืองรัตนพงษ์” ยื่นหลักฐานให้ทั้ง กมธ. ความมั่นคงแห่งรัฐฯ และกรมสอบสวนคดีพิเศษ (DSI) ตรวจสอบ โดยอ้างว่ามีเงินหมุนเวียนในสองเครือข่ายใหญ่ถึง 2,500 ล้านบาท ส่วนคณะกรรมการ ป.ป.ช. ก็ถูกยื่นเรื่องให้ตรวจสอบซ้ำอีกชั้นหนึ่ง ทั้งหมดนี้กลายเป็นภาพที่ชวนให้เชื่อว่า “ระบบรัฐ” กำลังถูกระดมให้ล้อมปราบ “ทุนเทา” อย่างเข้มข้น
แต่ในสายตานักวิเคราะห์ที่มองเกมลึกกว่าเรื่องคดี เหตุการณ์นี้กลับคล้ายการเล่น “สงครามข่าว” มากกว่า เป็นการปั่นกระแสอย่างมีจังหวะ เพื่อรักษาอุณหภูมิทางการเมืองให้ร้อนต่อเนื่อง โดยเฉพาะในจังหวะที่ “พรรคภูมิใจไทย” เริ่มขยับขึ้นจากพรรคกลางๆ กลายเป็นขั้วที่ถูกจับตาในทุกโพลสำรวจคะแนนนิยม ทั้งในพื้นที่ภาคอีสาน ภาคใต้ และภาคเหนือ ที่นายอนุทิน ชาญวีรกูล เดินสายลงพื้นที่อย่างต่อเนื่องจนคะแนนนิยมขยับขึ้นเรื่อยๆ
การโหมข่าว “ทุนเทา” ในช่วงนี้ จึงดูจะมีเป้าหมายมากกว่าแค่การสร้างภาพลักษณ์ว่ารัฐบาลไร้ประสิทธิภาพ หากแต่เป็นการ “ดักกระแสรักชาติ” ที่เคยพุ่งแรงในฝั่งภูมิใจไทย และเป็นการกลบความนิยมที่กำลังคืบเข้าหาฐานเสียงอนุรักษ์นิยมระดับรากหญ้า เพราะยิ่งภูมิใจไทยถูกมองว่า “ไม่ใช่พรรคในเกมเก่า” ก็ยิ่งได้รับแรงส่งจากประชาชนที่เบื่อการเมืองแบบแบ่งขั้ว
เมื่อ “อนุทิน” ออกมายอมรับต่อสื่อว่าอาจมีการยุบสภา-เลือกตั้งเร็วกว่ากำหนด เสียงวิจารณ์เรื่อง “ทุนเทา” ก็กลับมาดังกว่าที่เคย เหมือนคลื่นที่รอจังหวะซัดทันทีที่คู่แข่งเริ่มเดินเกมเร็ว บางฝ่ายถึงขั้นมองว่านี่คือ “การสกัด” ทางการเมืองที่วางจังหวะอย่างแนบเนียน
ฝ่ายรัฐบาลเอง แม้พยายามอธิบายว่าการดำเนินคดีเป็นไปตามขั้นตอน และไม่มีการแทรกแซงใด ๆ แต่กระแสสังคมกลับไม่เปิดช่องให้พักหายใจ เพราะข่าวการสอบ การยื่นเรื่อง และการเปิดโปงใหม่ ๆ ถูกปล่อยต่อเนื่องทุกสัปดาห์ เหมือนมีมือที่มองไม่เห็นคอยควบคุมจังหวะของข้อมูลให้พุ่งชนรัฐบาลเป็นระยะ
ทั้งหมดนี้เกิดขึ้นในขณะที่ประเทศไทยกำลังเผชิญแรงกดดันจากนานาชาติในประเด็นการฟอกเงินและอาชญากรรมไซเบอร์ ความเสียหายทางเศรษฐกิจจากแก๊งสแกมเมอร์ที่สูงกว่า 1.15 แสนล้านบาท ถูกนำมาขยายต่อเพื่อโจมตีภาพลักษณ์ประเทศ จนกลายเป็นแรงสั่นสะเทือนทั้งในและนอกสภา
แต่สิ่งที่น่าจับตากว่าคือ ใครได้ประโยชน์จากคลื่นข่าวนี้ เพราะในขณะที่ทุกสายตาจับจ้องไปที่ “ทุนเทา” และ “อาชญากรรมข้ามชาติ” พรรคภูมิใจไทยกลับถูกดึงเข้าไปอยู่ในวงวิจารณ์โดยปริยาย ถูกพาดพิงด้วยถ้อยคำกำกวม และถูกผลักให้กลายเป็น “พรรคต้องสงสัย” แม้ไม่มีหลักฐานยืนยันที่ชัดเจน
นี่คือศิลปะแห่งการเมืองไทยยุคใหม่ ที่ “การสร้างกระแส” กลายเป็นอาวุธสำคัญยิ่งกว่าการลงพื้นที่ และ “การโยงข่าว” มีพลังเทียบเท่าการอภิปรายไม่ไว้วางใจ เพราะในยุคที่สังคมเสพข่าวรวดเร็วและตัดสินเร็ว ผู้ที่ควบคุมประเด็นได้ก่อนย่อมได้เปรียบเสมอ
อย่างไรก็ตาม หากนายอนุทินตัดสินใจ “ชิงยุบสภา” ก่อนที่กระแสข่าวเหล่านี้จะลงลึกจนกลายเป็นโคลนติดเท้า เขาอาจกลับสถานการณ์ได้ทัน และกลายเป็นฝ่ายที่ได้เปรียบในเกมเลือกตั้ง เพราะการตัดสินใจเร็วในยามที่คู่แข่งยังไม่ทันตั้งตัว คืออาวุธทางยุทธศาสตร์ที่ทรงพลังที่สุดในสนามการเมือง
ท้ายที่สุด เกม “ตีฟูทุนเทา” ครั้งนี้ อาจไม่จบลงที่ใครถูกหรือผิดในชั้นคดี แต่อาจกลายเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญของสมรภูมิการเมืองไทย ที่ใช้ “ข่าวอาชญากรรม” เป็นฉากหน้า และ “การชิงเรตติ้ง” เป็นฉากหลัง เพื่อดักทางคู่แข่งทางอำนาจก่อนศึกเลือกตั้งจะเริ่มต้นจริงในอีกไม่กี่เดือนข้างหน้า
#ทุนเทา #ภูมิใจไทย #อนุทินชาญวีรกูล #สแกมเมอร์ #ยุบสภา #การเมืองไทย #เลือกตั้ง2569 #สงครามข่าว #ตีฟูทุนเทา








