“รัฐบาลอนุทินจะเอาอยู่ไหมกับทุนสีเทา?”คำถามนี้กำลังดังขึ้นเรื่อย ๆ ในสังคม หลังพรรคประชาชนเปิดฉากท้าทายนายกรัฐมนตรีคนใหม่อย่าง อนุทิน ชาญวีรกูล ให้แสดงความจริงใจต่อการปราบปราม “เครือข่ายสแกมเมอร์” และ “ทุนสีเทา” ที่กัดกร่อนระบบเศรษฐกิจไทยมานาน
ที่มาจากคำเสียงของนายอนุทิน ที่ว่า “ผมเซ็นเช็คเปล่าให้หน่วยงานไปจัดการเอง” ถูกมองว่าเป็นคำพูดที่ “ไม่ธรรมดา” เพราะในขณะที่นายกฯ ต้องการสื่อถึง “ความไว้ใจระบบราชการ” แต่ฝ่ายค้านกลับตีความว่าเป็น “การปล่อยปละละเลยเชิงนโยบาย” หรือ “ปล่อยเกียร์ว่าง” สะท้อนภาวะ “ผู้นำที่ยังไม่ขึงขังพอ”
นายณัฐพงษ์ เรืองปัญญาวุฒิ ผู้นำฝ่ายค้านในสภาผู้แทนราษฎร หัวหน้าพรรคประชาชน ชี้ชัดว่า การแก้ปัญหาสแกมเมอร์และทุนสีเทา ต้องมี “แผนบูรณาการระดับชาติ” ไม่ใช่เพียงคำสั่งกว้าง ๆ แล้วปล่อยให้หน่วยงานแต่ละแห่งตีความกันเอง เพราะสิ่งที่เกิดขึ้นคือ “ระบบปราบสแกมเมอร์แบบแยกส่วน” ที่ไม่มีศูนย์กลางสั่งการจริง
“เมื่อ ปปง. ต้องรอตำรวจ ก่อนอายัดทรัพย์
เมื่อ DSI ต้องรอ ปปง. ก่อนเปิดคดี
และตำรวจเองต้องรอหลักฐานธุรกรรมทางการเงินก่อนขยับ”
ทั้งหมดนี้ชี้ว่า รัฐบาลยังไม่สามารถสร้าง Command Center ที่แท้จริง สำหรับการปราบปรามทุนสีเทาได้เลย
จุดอ่อนทางการเมืองยิ่งปรากฏชัดขึ้น เมื่อรัฐบาลแต่งตั้ง นายธนดล สุวัณณะฤทธิ์ เป็นข้าราชการการเมือง ซึ่ง นายรังสิมันต์ โรม วิจารณ์อย่างตรงไปตรงมาว่า “นี่คือการตบหน้าและเหยียบย่ำประชาชน” เพราะบุคคลที่เคยมีส่วนเกี่ยวข้องกับคดีทุนสีเทา กลับได้รับตำแหน่งในรัฐบาลที่อ้างว่ากำลัง “ปราบสแกมเมอร์”
แม้นายอนุทินจะออกมาชี้แจงว่า การแต่งตั้งดังกล่าวเป็นโควตาของพรรคร่วมรัฐบาล โดยเฉพาะกลุ่มของ ร.อ. ธรรมนัส พรหมเผ่า แต่ในมุมการเมือง นี่คือ “สัญญาณอันตราย” ที่สะท้อนว่ารัฐบาลกำลังติดกับดักของ โควตาทางอำนาจ มากกว่าการยึดหลักธรรมาภิบาล
รัฐบาลอนุทินประกาศให้การปราบสแกมเมอร์เป็น “วาระแห่งชาติ” แต่ในความเป็นจริง อำนาจของ ปปง. ยังต้องพึ่งหน่วยงานอื่นเกือบทุกขั้นตอน
เลขาธิการ ปปง. ยืนยันเองว่า การอายัดทรัพย์ต้องมีหลักฐานชัดเจนจากตำรวจหรือ DSI ก่อนเสมอ ซึ่งทำให้การดำเนินคดีล่าช้า — ในขณะที่เครือข่ายทุนสีเทาเคลื่อนเงินข้ามประเทศได้ภายใน “ไม่กี่นาที”
แม้จะมีการนำเทคโนโลยี AI วิเคราะห์ธุรกรรมต้องสงสัย และทำ MOU ร่วมกับแบงก์ชาติและกระทรวงยุติธรรม แต่หากยังไม่มี “กลไกกลางที่มีอำนาจตัดสินใจแบบเบ็ดเสร็จ” ปปง. ก็จะยังคงเป็นหน่วยงาน “ตามเกม” มากกว่าการ “นำเกม”
ล่าสุด ตำรวจฮ่องกงและไต้หวันเปิดปฏิบัติการขนาดใหญ่
ฮ่องกง อายัดทรัพย์สินที่เชื่อมโยงกับ “เฉิน จื้อ” และ “Prince Group” มูลค่ากว่า 11,500 ล้านบาท
ไต้หวัน จับกุมผู้ต้องสงสัย 25 คน และอายัดทรัพย์อีกกว่า 4,700 ล้านบาท พร้อมบุกค้นกว่า 47 จุด
รายงานระบุว่า Prince Group มีฐานในกัมพูชา และขยายเครือข่ายฟอกเงินเชื่อมโยงหลายประเทศในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ รวมถึงไทย
ข้อมูลเหล่านี้ยิ่งตอกย้ำว่า ไทยอาจกำลังกลายเป็น “ทางผ่านของทุนสีเทา” ที่ข้ามพรมแดนมาใช้ระบบการเงินไทยเป็นเครื่องมือ — หากรัฐบาลยังไม่ “ลงมือจริง”
รัฐบาลอนุทินจะเอาอยู่ไหมกับทุนสีเทา?
คำถามนี้อาจไม่ใช่แค่การท้าทายศักยภาพของรัฐบาลใหม่ แต่คือการวัด “ภาวะผู้นำ” ของ อนุทิน ชาญวีรกูล ในฐานะนายกรัฐมนตรีเต็มตัว — ว่าเขาจะ “ควบคุมเกม” หรือ “ถูกเกมครอบงำ”
สิ่งที่ฝ่ายค้านต้องการเห็นจาก “อนุทิน” ไม่ใช่เพียงคำพูดหรือคำสั่ง แต่คือ “การสั่งการจริง” ในฐานะ ผู้นำรัฐบาลเต็มตัว
เพราะปัญหา “สแกมเมอร์” ไม่ได้เป็นเรื่องของเทคโนโลยีหรืออาชญากรรมไซเบอร์เพียงอย่างเดียว
แต่เป็นปัญหา “โครงสร้างรัฐที่กระจัดกระจาย”
ส่วน “ทุนสีเทา” ก็ไม่ใช่เพียงการฟอกเงิน แต่เป็น “อิทธิพลและการเมือง” ที่โยงใยลึกกว่าที่เห็น
หากรัฐบาลยังคงเดินเกมแบบ “เซ็นเช็คเปล่า” ต่อไป จุดอ่อนนี้อาจกลายเป็น “จุดแตกหักทางการเมืองครั้งแรกของรัฐบาลอนุทิน”
และฝ่ายค้าน ที่เคยเป็น “ฝ่ายค้ำ” จะใช้ช่องว่างนี้เป็น “ไม้เด็ด” เพื่อสั่นคลอนศรัทธาประชาชน
“เกมปราบสแกมเมอร์” ในรัฐบาลนี้ จึงไม่ได้วัดแค่ฝีมือของฝ่ายความมั่นคง
- แต่วัด “ภาวะผู้นำของนายกรัฐมนตรีคนใหม่” ว่าเขาจะเป็น “ผู้สั่งการจริง” หรือเพียง “ผู้เซ็นเช็คเปล่า”
เพราะสุดท้าย
การปราบทุนสีเทาไม่ใช่เรื่องของนโยบายที่พูดให้ดีในสภา
แต่คือการ “ตัดสินใจทางอำนาจ” ที่จะกำหนดอนาคตทางการเมืองของรัฐบาลอนุทิน ว่าจะอยู่…หรือจะเริ่มสั่นคลอน และอาจกลายเป็นจุดแตกหักทางการเมือง
#รัฐบาลอนุทิน #ทุนสีเทา #สแกมเมอร์ #ฝ่ายค้าน #รังสิมันต์โรม #ณัฐพงษ์เรืองปัญญาวุฒิ #อนุทินชาญวีรกูล #การเมืองไทย #PrinceGroup #ข่าวการเมือง








