วันที่ 5 พฤศจิกายน 2568 ที่กองบัญชาการกองทัพบก พลตรี วินธัย สุวารี โฆษกกองทัพบก ได้เผยถึงสถานการณ์ในพื้นที่ชายแดนไทย–กัมพูชาที่สำคัญ หลังจากที่ทั้งสองประเทศเริ่มดำเนินการถอนอาวุธหนักออกจากพื้นที่ความขัดแย้งตามแผนปฏิบัติการ (Action Plan)
“การถอนอาวุธหนักในขั้นที่ 1 ได้แก่ อาวุธประเภทจรวด ยังคงเป็นไปตามแผนที่ตกลงกันไว้ โดยมีคณะผู้สังเกตการณ์อาเซียนของทั้งสองประเทศเข้าติดตามตรวจสอบอย่างใกล้ชิด ในส่วนของการเก็บกู้ทุ่นระเบิดก็มีความคืบหน้าเช่นกัน ตามที่กองบัญชาการกองทัพไทย โดย TMAC ได้ออกมาชี้แจงให้ทราบเป็นระยะ ๆ
สำหรับกำลังพลในส่วนของกองกำลังป้องกันชายแดน ทั้งในส่วนของกองทัพภาคที่ 1 และกองทัพภาคที่ 2 ก็ยังคงวางกำลังและใช้มาตรการเฝ้าตรวจพื้นที่อย่างเข้มงวด เพื่อดูแลความสงบเรียบร้อยในพื้นที่รับผิดชอบให้เป็นไปตามข้อตกลงร่วมกันตามผลการประชุมทวิภาคีในทุกระดับ
โดยการเฝ้าตรวจพื้นที่ในห้วงที่ผ่านมา เมื่อวันที่ 2 และ 3 พฤศจิกายน 2568 บริเวณเนิน 677 ใกล้กับช่องอานม้า อำเภอน้ำยืน จังหวัดอุบลราชธานี ขณะที่เจ้าหน้าที่ทหารทำการลาดตระเวนในพื้นที่ ได้ตรวจพบ ทุ่นระเบิด PMN-2 จำนวน 2 ทุ่น ซึ่งเจ้าหน้าที่ได้ดำเนินการเก็บกู้เป็นที่เรียบร้อย
นอกจากนี้ เมื่อวันที่ 3 พฤศจิกายน 2568 ในพื้นที่ด้านทิศตะวันตกของช่องบก อำเภอน้ำยืน จังหวัดอุบลราชธานี ขณะที่เจ้าหน้าที่ทหารไทยทำการลาดตระเวนเฝ้าตรวจพื้นที่ ได้ตรวจพบทหารกัมพูชาจำนวน 6 นาย นำไม้ไผ่มาวางขวางเส้นทางลาดตระเวนของฝ่ายไทย
ฝ่ายไทยจึงได้เข้าเจรจา โดยชี้แจงว่าเส้นทางดังกล่าวเป็นเส้นทางลาดตระเวนตามปกติ หลังจากการพูดคุยทำความเข้าใจกัน ฝ่ายกัมพูชาได้รื้อสิ่งขวางทางออก และเจ้าหน้าที่ไทยจึงได้ทำการลาดตระเวนต่อได้ตามปกติ ต่อมาในวันที่ 5 พฤศจิกายน 2568 ชุดลาดตระเวนของไทยได้เข้าพื้นที่เดิมอีกครั้งเพื่อยืนยันความเรียบร้อย ซึ่งเหตุการณ์ทั่วไปเป็นปกติ ไม่มีการเข้ามาขัดขวางของฝ่ายกัมพูชาแต่อย่างใด
โฆษกกองทัพบกกล่าวเพิ่มเติมว่า กองทัพบกเข้าใจถึงลักษณะสถานการณ์ตามแนวชายแดนในขณะนี้ที่มีความละเอียดอ่อนและต้องอาศัยการประสานงานอย่างใกล้ชิด เพื่อให้การดำเนินการตามข้อตกลงจากการประชุมสุดยอดผู้นำอาเซียนเกิดผลอย่างเป็นรูปธรรม อันจะนำไปสู่การลดความขัดแย้งและสร้างความสงบเรียบร้อยในพื้นที่ชายแดนอย่างยั่งยืน ดังนั้น การกระทำใด ๆ ที่อาจส่งผลให้กระบวนการดังกล่าวต้องหยุดชะงัก ควรต้องมีความรอบคอบเป็นอย่างยิ่ง








