ข่าวภูมิภาค

สุดช็อค หนุ่มกินสุนัขสด! ลั่นเลิกแล้ว เจ้าหน้าที่ดูแลสุขภาพจิตญาติดูแลไม่ให้เกิดเหตุซ้ำ

แชร์ข่าว



วันที่ 5 พ.ย.68 ผู้สื่อข่าวได้รับเรื่องร้องเรียนจากพนักงานส่งของของบริษัทชื่อดังแห่งหนึ่ง พร้อมส่งคลิปและภาพถ่ายมาให้อยากให้ตรวจสอบชายในคลิปกินเนื้อสุนัขแบบสดๆ ซึ่งหากป่วยอยากให้นำตัวไปรักษา เพราะหวั่นจะฆ่าสุนัขอีกหรือรุนแรงไปถึงทำร้ายคนได้ ทั้งนี้จากการลงตรวจสอบข้อเท็จจริง

โดยนายอานนท์ ซึ่งเป็นพนักงานส่งของบริษัทเอกชน ผู้พบเห็น บอกว่า ขณะไปส่งพัสดุที่บ้านหลังเกิดเหตุ เห็นชายคนดังกล่าวกำลังกินเนื้อสุนัขสด ๆใกล้กันมีหัวสุนัข ขา และรอยเลือดเต็มพื้น ตกใจมากจนรีบถ่ายคลิปและภาพไว้ แล้วรีบออกจากบ้านทันที


ต่อมาเจ้าหน้าที่จากสำนักงานปศุสัตว์อำเภอกุดจับ ตำรวจ และเจ้าหน้าที่ พมจ.อุดรธานี เข้าตรวจสอบบ้านแห่งหนึ่งใน ต.ปะโค พบกับนายไสว (สงวนนามสกุล) อายุ 48 ปี และจและพัฒากการพูดคุยนายไสวยอมรับว่า เริ่มกินเนื้อสุนัขตั้งแต่เด็ก และเคยฆ่าสุนัขหลายร้อยตัว โดยเหตุการณ์ครั้งนี้เกิดจากสุนัขจรพยายามไล่งับขา ทำให้เขาใช้ท่อนไม้ฟาดและลากมาชำแหละก่อนกินสด ๆ พร้อมบอกว่า เนื้อและตับสุนัข “อร่อยที่สุด” และยังดื่มเหล้าขาวมาตั้งแต่เช้า และได้ยืนยันว่าตนไม่ได้ป่วยจิตเวชอะไรทั้งนั้น เป็นคนปกติ ไม่เสพยาแต่ชอบดื่มเหล้าและชอบกินเนื้อสุนัขเท่านั้น

แม้ผู้ก่อเหตุอ้างว่าไม่ได้เสพยาและไม่ป่วยจิตเวช แต่จากการตรวจร่างกายและสุขภาพจิต พบว่า นายไสวป่วยเป็นจิตเพศ ซึ่งได้รับการรักษาและฉีดวัคซีนป้องกันโรคพิษสุนัขบ้าแล้ว ส่วนเรื่องแจ้งความทางผู้ใหญ่บ้านได้ยกเลิกแล้ว เพราะนายไสวหมอตรวจแล้วป่วยเป็นจิตเพศ  เจ้าหน้าที่จึงให้ผู้ใหญ่บ้านเฝ้าสังเกตการณ์อย่างใกล้ชิด เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดเหตุซ้ำ

ชาวบ้านระบุว่า ไม่เคยรู้มาก่อนว่าชายคนนี้กินเนื้อสุนัข แม้สุนัขจะเป็นจร แต่ก็ไม่ควรถูกทำร้ายอย่างทารุณ ชาวบ้านหวั่นว่าจะก่อเหตุรุนแรงต่อสัตว์อื่นหรือต่อคนหากไม่มีการควบคุม

นายวินัย คำสมปราบ พี่ชายผู้ก่อเหตุ กล่าวว่าที่บ้านมี 5 คน น้องชายติดเหล้าหนัก หากเมาก็มักดื้อรั้น แต่ไม่เคยทำลายข้าวของ สำหรับเหตุฆ่าสุนัขครั้งนี้ เจ้าหน้าที่ได้แจ้งสัญญากับนายไสวว่าจะไม่ทำซ้ำ และเฝ้าติดตามอย่างต่อเนื่อง

ปศุสัตว์อำเภอกุดจับ ระบุว่า หากเป็นสุนัขมีเจ้าของ ผู้เสียหายสามารถแจ้งความดำเนินคดีตาม พระราชบัญญัติการป้องกันการทารุณกรรมและการจัดสวัสดิภาพสัตว์ พ.ศ. 2557 ซึ่งมีโทษสูงสุดจำคุก 2 ปี หรือปรับ 40,000 บาท

#ภูมิภาค-66

ข่าวแนะนำ