วันที่ 5 พฤศจิกายน 2568 นายสมบัติ กิจจาลักษณ์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท ทางด่วนและรถไฟฟ้ากรุงเทพ จำกัด (มหาชน) หรือ BEM เปิดเผยว่า การขยายสัมปทานทางด่วนขั้นที่ 2 และทางด่วนบางปะอิน-ปากเกร็ด เพื่อสร้างโครงการ Double Deck จากงามวงศ์วาน-พระราม 9 และลดค่าทางด่วนในเมืองเหลือไม่เกิน 50 บาท (จากเดิม 90 บาท) นั้นมีความชัดเจนแล้ว อยู่ระหว่างเสนอ ครม. อนุมัติตาม พรบ.การร่วมลงทุนระหว่างรัฐและเอกชน พ.ศ. 2562 คาดว่าจะลงนามสัญญาได้ภายในธันวาคม 2568
ทั้งนี้การลดค่าผ่านทางไม่กระทบกับรายได้ของ BEM ตามสัญญาเดิม เพราะจะมีการปรับส่วนแบ่งรายได้ค่าผ่านทางในเมืองเพื่อชดเชยให้แก่ BEM จากเดิม (กทพ.:BEM) 60:40 เป็น 50:50 ส่วนการลงทุนสร้าง Double Deck กว่า 3.5 หมื่นล้านบาท เพื่อแก้ปัญหาจราจร จะแลกกับการขยายสัมปทานออกไปอีก 22 ปี 5 เดือน คาดว่าหลัง Double Deck ให้บริการ รถจะติดน้อยลง ส่งผลให้ปริมาณผู้ใช้ทางเพิ่มขึ้นประมาณ 10-15% ทำให้ BEM มีสัมปทานที่คุณภาพ มีความมั่นคงยาวนานขึ้น
นอกจากนี้ BEM ยังมีโอกาสทางธุรกิจที่จะเติบโตอีกมาก จาก โครงการรถไฟฟ้าสายสีม่วงใต้ ที่ขณะนี้ การรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย (รฟม.) จ้าง BEM เดินรถส่วนเหนืออยู่ คาดว่ารัฐบาลจะอนุมัติให้ รฟม.เจรจากับ BEM ให้เดินรถต่อเนื่องภายในต้นปี 2569 เพื่อทันกับงานก่อสร้างที่จะแล้วเสร็จในอีก 3 ปี และยังมีโครงการทางหลวงพิเศษ M5 ส่วนต่อขยายทางยกระดับอุตราภิมุข (รังสิต-บางปะอิน) และ M9 ทางยกระดับสายวงแหวนรอบนอก กทม. (บางขุนเทียน -บางบัวทอง) ซึ่ง BEM ให้ความสนใจจะเข้าร่วมการประมูลอย่างแน่นอน
“เรามีเป้าหมายชัดเจนในการขยายการเติบโตอย่างต่อเนื่องและยั่งยืน ด้วยการบริหารจัดการต้นทุนอย่างมีประสิทธิภาพ และการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานที่มีศักยภาพ เพื่อสร้างมูลค่าเพิ่มให้ผู้ถือหุ้นและยกระดับคุณภาพชีวิตของประชาชนให้ดียิ่งขึ้นต่อไป” นายสมบัติ กล่าว
นายสมบัติ กล่าวว่า ส่วนธุรกิจทางด่วนของ BEM ปัจจุบันมีผู้ใช้บริการเฉลี่ยกว่า 1.1 ล้านคัน/วันทำการ ยังคงเป็นฐานรายได้หลักที่มั่นคง ทำกำไร และกระแสเงินสดให้ BEM อย่างมาก
ขณะที่ธุรกิจรถไฟฟ้าสายสีน้ำเงิน ปัจจุบันมีผู้โดยสารเฉลี่ยกว่า 520,000 คน/วันทำการ เป็นรถไฟฟ้าสายเดียวที่มีผู้โดยสารเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง ปริมาณสูงกว่าก่อนเกิดสถานการณ์ Covid-19 (ปี 2562) เนื่องจากเป็นสายวงกลม (Circle line) สายหลักในเมืองที่ทุกสายส่งผู้โดยสารเข้ามา และตลอดสายทางมีโครงการขนาดใหญ่เกิดขึ้น อาทิ ศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ One Bangkok และ Dusit Central Park ซึ่งอีก 2 ปีข้างหน้าหลังเปิดสายสีส้มตะวันออกคาดว่าปริมาณผู้โดยสารจะเพิ่มเป็น 650,000 คน/วันทำการ ซึ่ง BEM ได้สั่งซื้อรถไฟฟ้าเพิ่มอีก 21 ขบวนไว้รองรับแล้ว
ขณะที่รายได้จากการพัฒนาเชิงพาณิชย์ ปัจจุบันมีประมาณ 1,200 ล้านบาท/ปี จะโตขึ้นอีกกว่า 20% สอดคล้องกับผู้โดยสารที่เพิ่มขึ้น ทั้งหมดนี้แสดงให้เห็นว่าธุรกิจรถไฟฟ้ามีการเติบโตสูง ต่อเนื่อง และมั่นคงในระยะยาวจากสัมปทานที่เหลืออีกกว่า 25 ป
นอกจากนี้ BEM ยังมีรายได้จากการให้บริการเดินรถและซ่อมบำรุง (O&M) รถไฟฟ้าสายสีม่วงอีกกว่า 2,200 ล้านบาท/ปี รวมถึงรายได้ในอนาคตจากรถไฟฟ้าสายสีส้มที่จะเปิดให้บริการปลายปี 2570 (ส่วนตะวันออก) และทั้งสายในปี 2573 คาดว่ากำไร ของ BEM ในไตรมาสที่ 3/2568 จะสูงทำ New High อีกครั้ง และจะเพิ่มขึ้นทุกปี
นายสมบัติ กล่าวว่า BEM ได้รับการจัดอันดับความน่าเชื่อถือในประเทศระยะยาวจาก Fitch Ratings ที่ระดับ A(tha) แนวโน้มอันดับเครดิตมีเสถียรภาพ (Outlook Stable) สะท้อนถึงความแข็งแกร่งและศักยภาพของบริษัท จากสัมปทานที่มั่นคงในระยะยาว สร้างรายได้และกำไรที่โตต่อเนื่อง แม้จะมีการลงทุนในโครงการรถไฟฟ้าสายสีส้ม และโครงการ Double Deck หรือทางด่วนชั้นที่ 2 แต่ Fitch เชื่อว่าเป็นการลงทุนที่มีความสำคัญ ส่งเสริมการเติบโตในระยะยาว ทำให้บริษัทสามารถบริหารจัดการเงินลงทุนได้จากรายได้ที่โตขึ้นอย่างต่อเนื่อง คาดว่าต้นทุนทางการเงินทั้งในส่วนของสินเชื่อจากธนาคาร และหุ้นกู้ จะลดลงอย่างมีนัยยะสำคัญตั้งแต่ ปี 2569








