วันที่ 5 พฤศจิกายน 2568 ดร.พจน์ อร่ามวัฒนานนท์ ประธานกรรมการสภาหอการค้าแห่งประเทศไทย เผยว่า ที่ประชุมคณะกรรมการร่วมภาคเอกชน 3 สถาบัน (กกร.) เผยว่า เศรษฐกิจโลกขยายตัวดีกว่าที่คาด นำโดยเศรษฐกิจสหรัฐฯที่ขยายตัวดีต่อเนื่องแม้จะเริ่มได้รับผลกระทบจากมาตรการภาษี โดยล่าสุด IMF ประเมิน GDP โลกปี 2568 โต 3.2% จากเดิมที่คาดไว้ที่ 3.0% ท่ามกลางความเสี่ยงจากนโยบายการค้าโลก ทั้งนี้เศรษฐกิจสหรัฐฯ ที่ขยายตัวดีส่งผลให้แนวโน้มการส่งออกไทยในปี 2568 ขยายตัวสูงกว่าที่คาดไว้มาก อย่างไรก็ดี เศรษฐกิจไทยไม่ได้รับอานิสงส์จากการส่งออกมากนัก ส่วนหนึ่งเป็นเพราะสินค้าส่งออกของไทยที่ขยายตัวแรงมี Local Content ต่ำ จึงส่งผลต่อ GDP อย่างจำกัด
ขณะที่ตลาดแรงงานที่เปราะบางเป็นปัจจัยท้าทายการปรับตัวของเศรษฐกิจไทย อัตราว่างงานในระบบประกันสังคมล่าสุดในไตรมาส 2/68 แตะ 2.1% สูงสุดในรอบ 2 ปี และอัตราการว่างงานภาคอุตสาหกรรมและเด็กจบใหม่เร่งตัว จากเศรษฐกิจที่ได้รับผลกระทบจากสงครามการค้าและการแข่งขันจากต่างประเทศ ซึ่งซ้ำเติมแผลเป็นจากช่วงโควิดที่แรงงานนอกระบบสูงขึ้น กระทบต่อผลิตภาพแรงงาน
ดร.พจน์ กล่วาว่า คาดเศรษฐกิจไทยปี 2568 มีแนวโน้มขยายตัวได้ที่ 1.8%-2.2% ตามที่ประเมินไว้เดิม แม้การส่งออกอาจโตได้ประมาณ 9.5%-10.5% แต่เป็นสินค้าที่มี local content ต่ำมาก และทองคำซึ่งไม่ได้สร้างมูลค่าเพิ่มให้เศรษฐกิจจริง ประกอบกับการนำเข้าที่ขยายตัวสูงถึง 10.2% ขณะที่เงินเฟ้อต่ำเพียงราว -0.1% ถึง 0.1% ตามราคาพลังงานที่แผ่วลง อย่างไรก็ดีหากสามารถเร่งรัดการเบิกจ่ายงบประมาณปี 2569 ควบคู่ไปกับมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจคนละครึ่งพลัส สนับสนุน SMEs และ Made In Thailand ตามแนวทาง Quick Big Win ของรัฐบาล จะเป็นแรงสนับสนุนสำคัญของเศรษฐกิจไทยในปี 2568 ให้โตได้ใกล้เคียงกับปีก่อนที่โต 2.5%
คุณกอบศักดิ์ ดวงดี เลขาธิการสมาคมธนาคารไทย กล่าวว่า สมาคมธนาคารไทย ร่วมกับภาครัฐ และบริษัทข้อมูลเครดิตแห่งชาติ (NCB) ในการแก้ปัญหาหนี้ครัวเรือนอย่างยั่งยืน ให้ครัวเรือนหลุดพ้นจากกับดักหนี้ โดยยึดลูกหนี้เป็นศูนย์กลาง (Debtor Centric) ด้วยการรวมศูนย์หนี้ไปที่บริษัทบริหารสินทรัพย์สุขุมวิท (SAM) สำหรับลูกหนี้รายย่อย ผ่านการจัดตั้งบริษัทบริหารสินทรัพย์ร่วมทุน (JV AMC) เพื่อแก้หนี้รายย่อยที่มียอดหนี้ NPL ต่ำกว่า 1 แสนบาท ครอบคลุมกลุ่มเป้าหมายทั้งหมด 3.4 ล้านราย คิดเป็นยอดหนี้รวม 122,000 ล้านบาท พร้อมมีแนวทางในการยกระดับรายได้ โดยมีแรงจูงและให้แต้มต่อเพื่อให้ลูกหนี้มีความพร้อมและสามารถเข้าสู่ระบบกลไกตลาดตามปกติ โดยมีการพัฒนาฐานข้อมูลศักยภาพของลูกหนี้ พร้อมมุ่งเน้นให้มีการรวมประเภทหนี้ทั้งหมดจากเจ้าหนี้ทุกประเภทใบอนุญาต ที่เข้ามาในการแก้หนี้ในครั้งนี้
คุณเกรียงไกร เธียรนุกุล ประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย กล่าวว่า กกร. รับทราบความหน้าโครงการ “Reinvent Thailand” เพื่อยกระดับประเทศไทย โดยมุ่งเน้นขับเคลื่อน 6 อุตสาหกรรม (Priority Sectors) ที่บทบาทสำคัญต่อเศรษฐกิจและการจ้างงาน ได้แก่ 1) เกษตรและอาหาร 2) ยานยนต์ 3) อิเล็กทรอนิกส์อัจฉริยะ (Smart Electronics) 4) สุขภาพและการแพทย์ 5) ท่องเที่ยว และ 6) ค้าปลีก โดย กกร. จะมีเจ้าภาพในการผลักดันในแต่ละอุตสาหกรรม พร้อมให้ความสำคัญกับการสร้างความแข็งแกร่งทั้ง Supply Chain และผลักดันการช่วยเหลือในรูปแบบ “พี่ช่วยน้อง” ที่ธุรกิจขนาดใหญ่ช่วยประคอง SMEs อีกทั้ง ยังเชื่อมโยงกับมาตรการช่วยเหลือและโครงการต่างๆ ของภาครัฐและภาคเอกชน เพื่อประสิทธิภาพสูงสุด รวมถึงการปฏิรูปกฎหมายและกฎเกณฑ์ที่เกี่ยวข้อง เพื่อเสริมศักยภาพความสามารถในการแข่งขันให้กับภาคธุรกิจ
นอกจากนี้ที่ประชุม กกร. ไม่เห็นด้วยและมีความกังวลกับร่างกฎหมายที่ขาดการประเมินผลกระทบกฎหมาย (Regulatory Impact Assessment: RIA) อย่างรอบด้านและเป็นระบบ โดยเฉพาะร่างพระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงาน ร่างพระราชบัญญัติอากาศสะอาด และร่างพระราชบัญญัติโรงงาน ที่อยู่ระหว่างการพิจารณาของสภาผู้แทนราษฎร ซึ่งส่งผลกระทบโดยตรงต่อขีดความสามารถในการแข่งขันของภาคธุรกิจไทย โดยเฉพาะกลุ่มผู้ประกอบการขนาดกลางและขนาดย่อม (SMEs) ที่จะต้องเผชิญกับภาระต้นทุนการดำเนินงานที่เพิ่มขึ้นจากข้อกำหนดทางกฎหมายใหม่ นอกจากนี้ยังบั่นทอนความเชื่อมั่นของนักลงทุนต่างชาติและลดความน่าสนใจของประเทศไทยในการดึงดูดการลงทุนใหม่ ดังนั้น กกร. จึงเห็นว่าการจัดทำกฎหมายที่มีผลกระทบต่อระบบเศรษฐกิจในวงกว้างต้องดำเนินการอย่างรอบคอบ โปร่งใส เปิดรับฟังความคิดเห็นจากทุกภาคส่วน โดยเฉพาะผู้ประกอบการที่ได้รับผลกระทบโดยตรง พร้อมจัดทำการประเมินผลกระทบกฎหมาย (RIA) ที่เป็นไปตามมาตรฐานสากล เพื่อให้กฎหมายมีความสมดุลระหว่างการคุ้มครองและการรักษาขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศในระยะยาว
อย่างไรก็ตามที่ประชุม กกร. มีมติสนับสนุนแนวทางดำเนินงานของภาครัฐในการจัดทำร่างพระราชบัญญัติยกระดับการบริหารงานภาครัฐให้มีความทันสมัย พ.ศ. .. เพื่อปลดล็อคข้อจำกัดระบบราชการให้ทันต่อการเปลี่ยนแปลงและตอบสนองความต้องการประชาชนได้ทันเวลา พร้อมทั้ง สนับสนุนการขับเคลื่อนร่างพระราชบัญญัติการอำนวยความสะดวกในการพิจารณาอนุญาตและการให้บริการแก่ประชาชน พ.ศ. .... (ร่างฯ พ.ร.บ.อำนวยความสะดวกฯฉบับใหม่) ให้มีผลใช้บังคับ รวมไปถึง สนับสนุนแนวทางปรับปรุงกฎหมายที่เป็นอุปสรรคในการประกอบธุรกิจ (Regulatory Guillotine) เพื่อยกระดับการอำนวยความสะดวกในการประกอบธุรกิจและการให้บริการประชาชนไปสู่การเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศ ซึ่งสอดคล้องกับนโยบายของรัฐบาลด้านการบริหารภาครัฐและการปฏิรูปกฎหมาย โดย กกร. จะดำเนินการร่วมกับรองนายกรัฐมนตรี ศาสตราจารย์กิตติคุณ บวรศักดิ์ อุวรรณโณ อย่างต่อเนื่องเพื่อให้เกิดผลเป็นรูปธรรม








