การกลับมามีบทบาทนำของ นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ในพรรคประชาธิปัตย์ ไม่ได้เป็นเพียงการช่วงชิงพื้นที่ยุทธศาสตร์คืน แต่เป็นการจุดชนวนให้เกิดปฏิบัติการทวงถามความรับผิดชอบจากเหตุการณ์สลายการชุมนุม พฤษภาคม 2553 อย่างพร้อมเพรียงจากฝ่ายตรงข้าม ซึ่งกำลังใช้ "บาดแผลทางประวัติศาสตร์" ดังกล่าวเป็น "อาวุธนิวเคลียร์ทางศีลธรรม" ที่มีอานุภาพสูงสุดในการสกัดกั้นการฟื้นตัวและอนาคตทางการเมืองของพรรค ปชป. โดยเฉพาะอย่างยิ่งในสมรภูมิชี้ขาดอย่างกรุงเทพมหานคร (กทม.)
แก่นแท้ของวิกฤตที่ ปชป. เผชิญคือการปะทะกันอย่างรุนแรงระหว่าง ผลการตัดสินทางกฎหมาย กับ การรับรู้ทางสังคมและศีลธรรม การที่ศาลยกฟ้องคดีอาญาด้วยเหตุผลด้านขั้นตอน ทำให้ท่านพ้นจากความผิดตามตัวบทกฎหมายไปแล้ว แต่ความรับผิดชอบทางศีลธรรมและการเมืองกลับถูกทวงถามอย่างหนักหน่วงขึ้นเป็นทวีคูณ โดยเฉพาะจากกลุ่ม คนรุ่นใหม่ ที่เติบโตมาในยุคแห่งข้อมูลข่าวสารและเน้นการตรวจสอบอำนาจรัฐ ผลการตัดสินดังกล่าวจึงถูกตีความว่าเป็นการ "ลอยนวลพ้นผิด" ในมิติทางสังคมการเมืองอย่างชัดเจน
ความรู้สึกนี้เองที่จุดชนวนให้บาดแผล 2553 กลายเป็นยุคสมัยแห่ง "ไม่มีใครลืมง่าย ๆ" และกลายเป็น "ประวัติศาสตร์ที่ถูกหยิบใช้" ทำลายความน่าเชื่อถือทางการเมืองได้ทุกเมื่อที่ฝ่ายตรงข้ามต้องการสกัดกั้นการฟื้นตัวของพรรค การที่แกนนำอย่าง นายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ และ นายสมบัติ บุญงามอนงค์ ต่างเข้ามาร่วมวงขอบคุณและชื่นชมนิสิตในทันที นี่คือยุทธศาสตร์ที่สำคัญในการ รักษาและกระตุ้นฐานเสียงเก่า ของคนเสื้อแดงให้ยังคงรู้สึกถึงความเชื่อมโยงกับพรรค และ ตอกย้ำ ให้เห็นว่าความยุติธรรมยังไม่มาถึง ซึ่งเป็นแรงขับเคลื่อนให้เกิดการสนับสนุนทางการเมืองต่อไป
ขณะที่การที่แกนนำส้มคนสำคัญอย่าง นางอมรัตน์ โชคปมิตกุล ออกมาสนับสนุนนิสิต แสดงให้เห็นถึงการ ผสานยุทธศาสตร์ข้ามชั่วอายุคน อดีตพรรคก้าวไกลไม่เพียงแต่รับไม้ต่อจากความไม่พอใจของเสื้อแดง แต่ยังนำเอาประเด็นความรุนแรงโดยรัฐไปอยู่ใน วาระปฏิรูป และ วาระการตรวจสอบอำนาจ ซึ่งเป็นหัวใจสำคัญของฐานเสียงคนรุ่นใหม่ นี่คือการส่งสัญญาณว่าพรรคส้ม หรือพรรคประชาชน เป็นกระบอกเสียงให้กับผู้ถูกกระทำในทุกยุคสมัย
การกลับมาของนายอภิสิทธิ์ถูกมองว่าเป็นความพยายามช่วงชิงพื้นที่ยุทธศาสตร์อย่าง กทม. ซึ่งเป็นเป้าหมายของพรรค แต่ประเด็นความรุนแรงกลับกลายเป็น จุดอ่อนที่สุด ที่ถูกโจมตี เพราะมันขัดแย้งอย่างสิ้นเชิงกับค่านิยมของฐานเสียงสำคัญในเมืองหลวง ได้แก่ ชนชั้นกลางผู้มีการศึกษา และ คนรุ่นใหม่ ซึ่งให้ความสำคัญกับการตรวจสอบอำนาจรัฐและหลักการประชาธิปไตย
การใช้บาดแผล 2553 จึงมีวัตถุประสงค์เพื่อ ตอกย้ำภาพลักษณ์ของการ "ใช้ความรุนแรงของรัฐ" ซึ่งเป็นสิ่งที่ชนชั้นกลางและคนรุ่นใหม่ในเมืองหลวงไม่อาจยอมรับได้ ทำให้ภาพลักษณ์ของ ปชป. ในสายตาของฐานเสียงสำคัญนี้ถูกผนึกไว้ว่าเป็น "การเมืองเก่าที่พัวพันกับรอยเลือด" ที่ไม่สามารถไว้วางใจได้
บาดแผล 2553 ถูกใช้เป็นกลไกเชิงยุทธศาสตร์ที่ประสานกันระหว่างพรรคการเมืองฝ่ายตรงข้ามเพื่อสร้าง "กำแพงเหล็ก" ปิดกั้นการฟื้นตัวของ ปชป. โดย พรรคประชาชน ใช้ประเด็นนี้เพื่อตอกย้ำภาพลักษณ์ว่า ปชป. คือ "ไดโนเสาร์การเมือง" ที่ต้องถูกแทนที่ เพื่อตรึงฐานเสียงคนรุ่นใหม่ที่เกลียดชังความรุนแรงของรัฐไว้กับตนเองอย่างสมบูรณ์ ส่วน พรรคเพื่อไทย ใช้ประเด็นนี้เพื่อ บล็อกการสมานฉันท์ และสกัดไม่ให้ฐานเสียงเดิมของ ปชป. ที่เคยหันหลังให้กลับไปเลือกพรรคนี้ได้อีก
การทวงถามความรับผิดชอบจากเหตุการณ์ 2553 จึงเป็นปฏิบัติการทางการเมืองที่ทำลายภาพลักษณ์อย่างเป็นระบบ โดยใช้ประวัติศาสตร์เป็นอาวุธ กั้นขวางการฟื้นตัวของพรรคประชาธิปัตย์ ในพื้นที่สำคัญอย่าง กทม. จึงเป็นคำถามสำคัญที่ว่า นายอภิสิทธิ์และพรรคประชาธิปัตย์จะฝ่ากำแพงนี้ไปได้อย่างไร!?
#ทวงคืน2553 #ปชป #อภิสิทธิ์ #การเมืองใหม่ #เพื่อไทย #พรรคประชาชน #พรรคประชาธิปัตย์








