วันที่ 4 พ.ย.2568 เวลา 10.30 น.ที่พรรคเพื่อไทย นายประเสริฐ จันทรรวงทอง อดีตรองนายกรัฐมนตรี อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม และเลขาธิการพรรคเพื่อไทย แถลงข่าวกรณีที่บางพรรคการเมืองชื่นชมผลการเข้าร่วมประชุมเอเปคของนายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรี ว่า พรรคเพื่อไทยมีมุมมองแตกต่าง พร้อมตั้งข้อสังเกต 4 ประเด็นสำคัญในเวทีนานาชาติของรัฐบาลภายใต้การนำของนายอนุทิน โดยเฉพาะเรื่อง “มาตรการปราบสแกมเมอร์ของไทย” รัฐบาลประกาศจะเป็นผู้นำด้านการปราบปรามแก๊งสแกมเมอร์ในระดับโลก แต่กลับทำได้เพียง “สร้างภาพ” ขาดการปฏิบัติจริง ทั้งที่ปัญหาดังกล่าวเป็นอาชญากรรมข้ามชาติที่ส่งผลกระทบต่อประชาชนและชื่อเสียงประเทศ ซึ่งรัฐบาลชุดก่อนสามารถลดความเสียหายลงกว่า 40% หรือราว 14,500 ล้านบาทต่อปี แต่ภายใต้รัฐบาลปัจจุบันกลับปล่อยให้กลับมาเป็นปัญหาใหญ่อีกครั้ง
ขณะที่ประเทศเพื่อนบ้านอย่างสิงคโปร์และมาเลเซียมีความก้าวหน้าในการปราบสแกมเมอร์ เช่น ประเทศสิงคโปร์มีการยึดทรัพย์มูลค่ากว่า 150 ล้านดอลลาร์สิงคโปร์จากเครือข่าย “Prince Group” และการบังคับใช้ระบบยืนยันตัวตนดิจิทัล (e-KYC) เพื่อป้องกันบัญชีปลอม รัฐบาลไทยกลับไม่ใช้เวทีโลกอย่างเอเปคผลักดันความร่วมมือเชิงรูปธรรมในเรื่องนี้ โดยสมัยพรรคเพื่อไทยได้ผลักดันให้มีกฎหมายปราบปรามแก๊งคอลเซ็นเตอร์ฯ และกฎหมายการประกอบสินทรัพย์ดิจิทัลฯ ใช้เป็นเครื่องมือ แต่รัฐบาลนี้กลับไม่หยิบมาใช้เป็นเครื่องมือให้เป็นประโยชน์
นายประเสริฐ กล่าวว่า เมื่อนายกรัฐมนตรีไปประชุมเอเปค แทนที่รัฐบาลจะนำประเด็นการปราบสแกมเมอร์ข้ามชาติขึ้นหารือ แต่กลับไปลงนาม MOU เรื่องแร่หายากกับสหรัฐฯ โดยไม่ได้ขอความร่วมมือด้านความมั่นคงดิจิทัลหรือการปราบอาชญากรรมข้ามชาติ ถือเป็นการเสียโอกาสของประเทศ ทั้งนี้ พรรคเพื่อไทยเสนอให้รัฐบาลเร่งดำเนินการปราบสแกมเมอร์ภายใน 30 วัน ก่อนการยุบสภา โดยต่อยอดจากกลไกที่รัฐบาลเพื่อไทยเคยวางไว้ พรรคเพื่อไทยจึงขอเสนอให้รัฐบาล เดินหน้าปราบสแกมเมอร์ภายใน 30 วัน ก่อนยุบสภา ไม่ต้องรอ 4 เดือนอย่างที่รัฐบาล ออกมาประกาศ
โดยต่อยอดจากกลไกเดิมที่รัฐบาลเพื่อไทยได้วางไว้แล้ว คือ 1. ขอให้รัฐบาลออกมาแถลงผลการตรวจสอบข้อเท็จจริง กรณีนายไชยชนก ชิดชอบ รมว.ดีอี แฉว่าถูกแก๊งสแกมเมอร์เสนอสินบน 40 ล้านต่อเดือน แลกกับการไม่ปราบแก๊งคอลเซ็นเตอร์ ที่เคยบอกว่าจะมาสรุปผลภายในสิ้นเดือนตุลาคมที่ผ่านมา พร้อมขยายผลจับกุมไปยังต้นตอด้วย 2.ขอให้มีการสืบสวนและดำเนินการทางคดีกับบุคคลและบริษัทที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับบริษัท Prince Group โดยเร็วที่สุด
เลขาธิการพรรคเพื่อไทย กล่าวต่อว่า 3. ขอเสนอแนะว่า จะโค่นสแกมเมอร์ได้ ต้องโฟกัสที่“เงิน” เพราะเงินทุกบาทที่อาชญากรยึดไป รัฐบาลต้องเอาคืนให้พี่น้องประชาชนให้มากที่สุด ด้วยการใช้กฎหมายการป้องกันและปราบปรามอาชญากรรมทางเทคโนโลยี ซึ่งมีสาระสำคัญตรงคืนเงินให้ประชาชน และรัฐบาลต้องไปทำ พรก. ให้สอดคล้องกับกฎหมายนี้ และต้องเดินหน้าระงับบัญชีม้า โดยรัฐบาลชุดที่แล้วระงับบัญชีม้าได้มากกว่า 500,000 บัญชี 4.เดินหน้าความร่วมมือปราบสแกมเมอร์ทั้ง 3 ฝ่าย ระหว่าง ไทย-จีน-กัมพูชา โดยให้พิจารณาพัฒนาจากโมเดลความร่วมมือ ไทย-จีน-เมียนมา ที่รัฐบาลเพื่อไทยได้ริเริ่มไว้ รวมถึงกลับมาดำเนินมาตรการ 3 ตัด คือ ตัดไฟ ตัดอินเทอร์เน็ต ตัดการขนส่งน้ำมันเพื่อสกัดสแกมเซ็นเตอร์ ตามแนวชายแดน และให้กลับมาเข้มงวดในการปิดกั้นเส้นทางธรรมชาติทางชายแดนด้วย
5.สานต่อนโยบายรัฐบาลเพื่อไทย จัดตั้งศูนย์บริหารเหตุการณ์แก๊งคอลเซ็นเตอร์และค้ามนุษย์นานาชาติระดับภูมิภาค หรือ Regional Scam Combatting Cooperation เพื่อสร้างบทบาทนำที่แท้จริงให้กับประเทศไทยในฐานะที่เป็นผู้ริเริ่ม เพื่อบูรณาการความร่วมมือจาก สหรัฐ สหราชอาณาจักร เกาหลีใต้ ญี่ปุ่น และอีกหลายประเทศที่มีทั้งข้อมูลข่าวสาร ข่าวกรองต่างๆ การที่รัฐบาลไม่ได้หยิบยกเรื่องที่เป็นรูปธรรมเหล่านี้มาถกในเวทีโลก และสานต่อสิ่งที่รัฐบาลของพรรคเพื่อไทยเคยทำไว้ถือเป็นเรื่องที่น่าเสียดายและเป็นการเสียโอกาสอย่างยิ่ง
“พรรคเพื่อไทยขอเรียกร้องให้รัฐบาลภายใต้การนำของนายอนุทินหยุดเล่นการเมืองบนความมั่นคงของชาติและให้เอาผลประโยชน์ของประเทศและพี่น้องประชาชนเป็นตัวตั้ง ถึงเวลาที่รัฐบาลต้องทำจริง ไม่ใช่ทำตามกระแส เดินหน้ามาตรการปราบปรามแก๊งคอลเซ็นเตอร์ข้ามชาติให้ถึงที่สุด ใช้เป็นยุทธศาสตร์หลักในการกดดันกัมพูชา ไม่ใช่เพียงแค่สร้างภาพเอาคะแนนนิยมทางการเมืองชั่วคราวเท่านั้น” นายประเสริฐ กล่าว








