การกลับมาขึ้นเวทีคอนเสิร์ตครั้งแรกในรอบ 16 ปีของวง "Oasis" ที่ประเทศญี่ปุ่นเมื่อเดือนที่แล้ว สร้างปรากฏการณ์ "Reunion" ที่เหนือความคาดหมาย เสียงเชียร์ที่ดังกึกก้องไปทั่วโตเกียวโดมไม่ได้มาจากเพียงแค่กลุ่มแฟนเพลงยุคบุกเบิกที่ติดตามตำนาน "บริตป็อป" มาตั้งแต่ยุค 1990 เท่านั้น
ท่ามกลางมวลชน กว่า 50,000 คน ยังมีแฟนเพลงรุ่นเยาว์อีกหลายพันคน ที่เพิ่งได้ค้นพบวงดนตรีระดับตำนานวงนี้ หลังจากที่วงได้แยกทางกันไปในปี 2009 ซึ่งการค้นพบไม่ได้เกิดขึ้นผ่านร้านขายแผ่นเสียงหรือคลื่นวิทยุอย่างที่เคยเป็นมา แต่กลับเกิดขึ้นผ่าน บริการ "สตรีมเพลง" เป็นหลัก
คอนเสิร์ตที่บัตรขายหมดเกลี้ยงเมื่อวันที่ 25 ตุลาคม 2568 ที่ผ่านมา จึงเป็นเสมือนช่วงเวลาแห่งสัญลักษณ์ที่เชื่อมโยงแฟนเพลงจากสองเจเนอเรชันเข้าไว้ด้วยกันอย่างแท้จริง
การแสดงในครั้งนี้สะท้อนภาพชัดเจนว่า ในยุคแห่งการสมัครสมาชิกบริการสตรีมมิง เพลงจากหลายทศวรรษที่ผ่านมาสามารถแพร่กระจายได้อย่างอิสระ ไม่แตกต่างจากเพลงฮิตล่าสุด นี่คือสะพานเชื่อมระหว่างคนที่เคยซื้ออัลบั้มของ Oasis ในรูปแบบซีดี กับคนรุ่นใหม่ที่สตรีมเพลงเหล่านั้นบนแพลตฟอร์มดิจิทัลอย่าง Spotify
วินาทีที่ "โนล" และ "เลียม กัลลาเกอร์" ปรากฏตัวบนเวทีพร้อมกับยกมือขึ้นสูง เป็นภาพแห่งความสามัคคีที่หาชมได้ยากของสองพี่น้องชาวแมนเชสเตอร์ หลังความบาดหมางที่ยืดเยื้อมานานหลายปี ทำให้ทั้งโตเกียวโดมแทบระเบิดด้วยเสียงโห่ร้องกึกก้อง
ความยิ่งใหญ่ตระการตาและพลังงานของวงยังคงอยู่ครบถ้วน "เลียม" กุมมือไว้ด้านหลัง จ้องมองฝูงชนอย่างมีเสน่ห์ พร้อมกับคำรามร้องเพลงคลาสสิกอมตะอย่าง "Some Might Say" และ "Wonderwall" โดยมีแฟน ๆ ทุกเพศทุกวัยร่วมร้องตามกันอย่างทรงพลัง
ความกระตือรือร้นจากแฟนเพลงคนรุ่นใหม่และรุ่นเก่าแผ่ขยายไปไกลกว่าสถานที่จัดคอนเสิร์ตที่โตเกียวโดม ก่อนการแสดงไม่กี่วัน Miyashita Park ในชิบูย่า ถูกแปลงโฉมให้กลายเป็นศูนย์กลางธีม Oasis เต็มรูปแบบ มีป้ายโฆษณาดิจิทัลที่ฉายมิวสิกวิดีโอซ้ำ ๆ วนไป และร้านค้าแบบป๊อปอัปที่จำหน่ายเสื้อยืด โปสเตอร์ รวมถึงสินค้าเฉพาะสำหรับญี่ปุ่น เช่น ถ้วยชา
การรวมตัวของวง Oasis จึงเปรียบเสมือนเทศกาลใหญ่ที่แฟน ๆ ต่างร่วมฉลอง บางคนถึงกับใช้จ่ายไปกว่า 20,000 เยน (ประมาณ 130 ดอลลาร์สหรัฐฯ) ซื้อของสะสมหลากหลายชนิด รวมถึงบูธอะคริลิกลาย "เลียม กัลลาเกอร์" ด้วย พวกเขาเก็บสะสมสิ่งเหล่านี้เป็นส่วนหนึ่งของกิจกรรมแฟนคลับ ซึ่งในแง่นี้ แฟน ๆ ของ Oasis ในปัจจุบันก็ไม่ได้แตกต่างจากแฟน ๆ ของไอดอลป๊อปเท่าไรนัก
ข้อมูลสนับสนุนความสนใจที่กลับมาอีกครั้งนี้อย่างชัดเจน โดยบริษัทวิจัย Luminate (ลูมิเนท) ของสหรัฐอเมริกา ระบุว่า สัปดาห์ที่มีการประกาศการกลับมารวมตัวของวง Oasis ในเดือนสิงหาคม มียอดสตรีมเพลงของพวกเขาทั่วโลกพุ่งสูงถึงประมาณ 120 ล้านครั้ง ซึ่งมากกว่ายอดสตรีมรวมในสัปดาห์ก่อนหน้าถึงสามเท่า
เมื่อทัวร์คอนเสิร์ตรวมตัวเริ่มต้นขึ้นในเดือนกรกฎาคม ยอดสตรีมรายสัปดาห์ก็ทะลุ 100 ล้านครั้งอีกครั้ง การพุ่งสูงขึ้นนี้บอกให้รู้ถึงการเปลี่ยนแปลงในวงกว้างของพฤติกรรมการฟังเพลงทั่วโลกอย่างมีนัยสำคัญ ในยุคสตรีมมิง เพลงที่เรียกว่า "แคตตาล็อก" หรืออัลบั้มเก่าที่วางจำหน่ายมานานกว่า 18 เดือน ปัจจุบันได้ครองส่วนแบ่งการฟังส่วนใหญ่
Luminate รายงานว่า ในตลาดสหรัฐอเมริกาเมื่อปีที่แล้ว เพลงใหม่คิดเป็นเพียง 26.7 เปอร์เซ็นต์ของการสตรีมทั้งหมด ขณะที่อัลบั้มแคตตาล็อกมีสัดส่วนสูงถึง 73.3 เปอร์เซ็นต์ โดยเฉพาะในวงการเพลงร็อก ความนิยมของเพลงเก่ายิ่งเพิ่มมากขึ้นไปอีก
สำหรับแฟนเพลงรุ่นใหม่ "อัลกอริทึม" ได้เข้ามาแทนที่พนักงานขายแผ่นเสียง เพลงจากยุค 90s ปรากฏขึ้นเคียงข้างเพลงฮิตติดชาร์ตในปัจจุบันอย่างเป็นธรรมชาติ ทำให้ความรู้สึกถึงขอบเขตของดนตรีในยุคปัจจุบันเลือนรางลงไปอย่างสิ้นเชิง
ขณะที่โน้ตสุดท้ายของเพลง "Stand by Me" ดังขึ้นที่โตเกียวโดม "เลียม กัลลาเกอร์" ร้องท่อนหนึ่งว่า "Sing me something new" แต่ตัวคอนเสิร์ตเองก็แสดงให้เห็นว่าสิ่งที่เรียกว่า "ใหม่" นั้นมีความหมายที่แตกต่างออกไปแล้วอย่างสิ้นเชิง
ในโลกที่ดนตรีจากหลายทศวรรษอยู่ร่วมกันในคลังเพลงอันไร้ขอบเขต การกลับมาของ Oasis จึงไม่ใช่แค่เพียงการย้อนวันวานและความคิดถึง แต่เป็นเครื่องพิสูจน์ว่า สำหรับคนรุ่นที่เติบโตมากับการสตรีมเพลง ดนตรีบริตป็อปยุค 90s ก็ยังคงฟังดู สดใหม่และน่าค้นหา อยู่เสมอ
#Oasis #โอเอซิส #LiamGallagher #NoelGallagher #บริตป็อป #Britpop #TokyoDome #คอนเสิร์ต #สตรีมมิง #Spotify







