วันที่ 3 พฤศจิกายน 2568 นายชัชชาติ สิทธิพันธุ์ ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร ได้เปิดเผยถึงกรณีที่กรุงเทพมหานคร (กทม.) มีการปรับราคาค่าโดยสารรถไฟฟ้าสายสีเขียวส่วนต่อขยาย 1 และ 2 เพิ่มขึ้น โดยยืนยันว่า กทม. ไม่ต้องการที่จะขึ้นราคาค่าโดยสารดังกล่าว แต่การดำเนินการครั้งนี้ถือเป็นความจำเป็นที่หลีกเลี่ยงได้ยากและเป็นภาระที่แท้จริง นายชัชชาติระบุว่า ค่าจ้างเดินรถที่ทำสัญญาไว้ก่อนหน้านี้ ใช้เงินค่อนข้างสูงถึง 8,000 ล้านบาทต่อปี ในขณะที่ กทม. สามารถเก็บรายได้จากค่าโดยสารได้เพียง 2,000 ล้านบาทต่อปีเท่านั้น ทำให้ กทม. ต้องนำเงินงบประมาณส่วนอื่นเข้ามาสมทบเพื่อชดเชยค่าใช้จ่ายที่เกิดขึ้น เป็นจำนวนเงินประมาณ 6,000 ล้านบาท การนำเงินจำนวนดังกล่าวซึ่งเป็นเงินของประชาชนส่วนที่ไม่ได้ใช้รถไฟฟ้าส่วนนี้ต้องมาร่วมจ่าย อาจไม่ค่อยเป็นธรรมและไม่ยั่งยืน เพราะสุดท้ายแล้วราคาค่าโดยสารต้องสะท้อนต้นทุนที่แท้จริงให้ได้ และทาง กทม. ก็พยายามอย่างยิ่งที่จะทำให้ประชาชนได้รับผลกระทบน้อยที่สุด
อย่างไรก็ตาม นายชัชชาติกล่าวว่า สำหรับราคาค่าโดยสารในปัจจุบัน อาจจะต้องหาหนทางในการต่อรองอีกครั้ง เนื่องจากยังมีสัญญาสัมปทานตัวแม่ที่กำลังจะหมดลงในประมาณ 4-5 ปีข้างหน้า หาก กทม. สามารถรวบสัญญาและเจรจาต่อรองในครั้งเดียวได้ อาจส่งผลให้ราคาค่าโดยสารถูกลงได้ นอกจากนี้ กทม. ยังคงพยายามหารายได้ทางอื่นมาเสริม เช่น รายได้จากการค้าในสถานีรถไฟฟ้าและโฆษณาต่างๆ ปัจจุบันส่วนต่อขยายยังมีมูลค่าเพิ่มเชิงพาณิชย์ได้ไม่มากนัก หากสามารถเพิ่มมูลค่าเชิงพาณิชย์ได้ ก็จะมีเงินมาช่วยชดเชยค่าโดยสารได้ นายชัชชาติเน้นย้ำว่า กทม. พยายามทุกทางในการต่อรองกับผู้ให้สัมปทานเช่นกัน แต่เนื่องจากเป็นคำสั่งศาลจึงจำเป็นต้องปฏิบัติตาม
สำหรับโครงสร้างอัตราค่าโดยสารโครงการรถไฟฟ้าสายสีเขียวส่วนต่อขยายทั้งสามช่วง ได้แก่ หมอชิต–คูคต, บางจาก–สมุทรปราการ และโพธิ์นิมิตร–บางหว้า เริ่มมีผลตั้งแต่วันที่ 1 พฤศจิกายน 2568 โดยปัจจุบัน กทม. ดูแลการเดินรถไฟฟ้าสายสีเขียว (ส่วนต่อขยาย) รวม 36 สถานี ระยะทาง 44 กม. การปรับอัตราค่าโดยสารครั้งนี้ เป็นการเปลี่ยนจากอัตราเดิม 15 บาทตลอดสาย มาเป็นโครงสร้าง ค่าโดยสารตามระยะทาง (Distance Fare) เพื่อให้สะท้อนต้นทุนการให้บริการที่แท้จริง และรักษาความมั่นคงของระบบขนส่งมวลชนในระยะยาว
สำหรับอัตราใหม่ การเดินทางภายในส่วนต่อขยายจะเริ่มต้นที่ 17 บาท และเพิ่มขึ้นตามระยะทางไม่เกิน 45 บาท ส่วนผู้โดยสารที่เดินทางข้ามช่วงระหว่างส่วนสัมปทานและส่วนต่อขยาย ค่าโดยสารรวมสูงสุดไม่เกิน 65 บาท (เพิ่มจากเดิม 3 บาท) ซึ่งยังถือว่าต่ำกว่าค่าโดยสารเฉลี่ยของระบบรถไฟฟ้าในเมืองใหญ่ทั่วโลก
ที่ผ่านมา กทม. เก็บค่าโดยสารส่วนต่อขยายเพียง 15 บาทตลอดสาย ซึ่งไม่สอดคล้องกับต้นทุนค่าจ้างเดินรถและ ค่าบำรุงรักษา ทำให้ กทม. ต้องแบกรับค่าใช้จ่ายและใช้งบประมาณสนับสนุนชดเชยส่วนต่างปีละกว่า 6,000 ล้านบาท โดยรายได้จากการเดินรถในส่วนต่อขยายอยู่ที่ประมาณ 2,400 ล้านบาทต่อปี ขณะที่รายจ่ายรวมสูงถึง 9,012 ล้านบาท การปรับโครงสร้างค่าโดยสารในครั้งนี้จึงมีความจำเป็น เพื่อให้ระบบขนส่งมวลชนของเมืองสามารถดำเนินการได้อย่างยั่งยืนและมีประสิทธิภาพ
อย่างไรก็ตาม สำหรับเด็กและนักศึกษา (อายุไม่เกิน 23 ปี) ลดค่าโดยสาร 30% และผู้สูงอายุ (60 ปีขึ้นไป) ลดค่าโดยสาร 50% ทั้งนี้ กลุ่มที่ได้รับผลกระทบหลัก คือผู้โดยสารที่เดินทางเฉพาะในส่วนต่อขยาย ซึ่งค่าโดยสารจะเพิ่มขึ้น 2–30 บาท ตามระยะทาง ส่วนผู้โดยสารที่ใช้เฉพาะส่วนสัมปทานเดิมจะไม่มีการเปลี่ยนแปลง








