เมื่อเวลา 13.00 น.วันที่ 3 พ.ย. 68 ที่ตึกสันติไมตรี ทำเนียบรัฐบาล นายสิริพงศ์ อังคสกุลเกียรติ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี แถลงความคืบหน้าจากผลการหารือระหว่างนายกรัฐมนตรีไทยและ นายกรัฐมนตรีกัมพูชา (Joint Declaration) และการประชุมที่เกี่ยวข้อง (JBC และ GBC) ว่า ไทยและกัมพูชามีความสัมพันธ์ที่ดีมาโดยตลอดจนกระทั่งเดือนมี.ค.ถึงเดือนเม.ย. 68 ที่สถานการณ์ความไม่สงบเกิดขึ้นตามแนวชายแดนไม่ว่าจะเป็นการรุกล้ำเข้ามาของฝ่ายกัมพูชา ทำให้เกิดความไม่สบายใจของฝ่ายไทย จนมีเหตุการณ์ยิงต่อสู้จากการรุกล้ำการขุดคูเล็ตของกัมพูชา รวมถึงกรณีทหารไทยมีการเหยียบกับระเบิด ทำให้สูญเสียขาไปจำนวน 3 ราย และมีระเบิดลงที่ปั๊มน้ำมัน มีประชาชนเสียชีวิต 8 คน ถือเป็นการสูญเสียที่หนักหนาสาหัสสำหรับคนไทย ความเจ็บช้ำครั้งนี้เป็นสิ่งที่เราปฏิเสธไม่ได้ว่าเรามีความโกรธแค้นและมีความเสียใจในความสูญเสีย หลังจากนั้น มีการตอบโต้ทำให้สูญเสียทหารไปนับ 10 ราย และบาดเจ็บ 666 คน จนถึงวันที่ 28 ก.ค. มีการลงนามข้อตกลงหยุดยิงของรักษาการนายกฯเวลานั้นกับรัฐบาลกัมพูชาที่ประเทศมาเลเซีย
นายสิริพงศ์ กล่าวว่า เดิมทีเรื่องข้อพิพาทเป็นเรื่องระหว่างไทยกับกัมพูชา แต่หลังจากวันที่ 28 ก.ค. เริ่มมีผู้สังเกตการณ์จากคนนอกเข้ามาคือสหรัฐอเมริกาและมาเลเซีย ดังนั้นการดำเนินการใดๆ ก็ตามที่เกิดขึ้นระหว่างไทย-กัมพูชาเป็นเรื่องที่สังคมโลกจับตามอง
นายสิริพงศ์ กล่าวว่า ผ่านมาตั้งแต่วันที่ 28 ก.ค. จนถึงวันนี้เป็นเวลา 96 วัน ที่ชาวบ้านตื่นมาเจอกับปืนใหญ่ เจอรถถัง สถานการณ์จากนี้ไปสิ่งหนึ่งที่ปฏิเสธไม่ได้คือประเทศไทยและกัมพูชาเป็นประเทศที่มีพื้นที่ติดกัน เราไม่ได้ลืมความเจ็บแค้น แต่เวลานี้เรากำลังพูดกันอยู่ว่า เมื่อมีพื้นดินที่ติดกันและข้อเท็จจริงนี้ไม่สามารถเปลี่ยนแปลงได้ เราจะเดินหน้าอย่างไร เราหวังว่าจะให้ประชาชนบริเวณนั้นตื่นขึ้นมา พร้อมเห็นรถถังทุกวันหรือไม่ ตนคิดว่าทุกคนคงไม่ได้คิดเช่นนั้น เราคงไม่ได้อยากเห็นประชาชนอยู่ในความหวาดผวาว่า วันนี้ประชาชนต้องอพยพหรือไม่ วันนี้ตนเชื่อว่าสิ่งหนึ่งที่คนไทยทุกคนอยากเห็นคือการใช้ชีวิตของคนในประเทศไทยอย่างเป็นปกติสุขที่สุด โดยที่เราไม่สูญเสียดินแดนของเรา แม้แต่หนึ่งตารางเซนติเมตร วันนี้มาถึงจุดที่เราจะต้องเดินหน้าหาคำตอบหาทางออกกรณีพิพาทไทย-กัมพูชาแล้ว โดยขั้นตอนที่ยึดโยงมาจากข้อตกลงคือแนวทางว่าจะมีการปฏิบัติต่อกันอย่างไร ระหว่างไทยและกัมพูชา ซึ่งเรายืนยันหนักแน่นใน 4 ข้อหลัก ทั้งนี้ประเทศไม่สามารถเดินหน้าด้วยข่าวลือ แต่ประเทศจะเดินหน้าได้ด้วยข้อเท็จจริง
นายสิริพงศ์ กล่าวว่า เรื่องของไซเบอร์สแกมในช่วงที่ผ่านมาในขณะที่สถานการณ์ชายแดนไทยกัมพูชาไม่สงบเรียบร้อย ความร่วมมือต่างๆก็ไม่ได้รับการสานต่อ แต่ภายใต้ข้อตกลง 4 ข้อ จะต้องดำเนินการต่อให้ได้ ทั้งนี้ นายกฯได้มีคำสั่งนายกรัฐมนตรีเรื่องการจัดตั้งคณะกรรมการขับเคลื่อนการปฏิบัติตามเอกสารถ้อยแถลงผลการพบปะหารือระหว่างนายกรัฐมนตรีราชอาณาจักรไทยและนายกรัฐมนตรีราชอาณาจักรกัมพูชา ณ กรุงกัวลาลัมเปอร์ มาเลเซีย เมื่อวันที่ 26 ต.ค.68 โดยคณะกรรมการชุดนี้ จะมีผู้บัญชาการทหารสูงสุดเป็นประธานคณะกรรมการซึ่งมีหน้าที่ติดตามประเมินผลการดำเนินการของทั้งฝั่งกัมพูชาและไทยและมีหน้าที่อำนวยการคณะสังเกตการณ์เพื่อให้การสังเกตการณ์เป็นไปด้วยความสงบเรียบร้อยและปกติที่สุด
ทั้งนี้ นายสิริพงศ์ กล่าวว่า ขอยืนยันกับพี่น้องประชาชนว่า รัฐบาลโดยนายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย เรามีความมุ่งมั่นตั้งใจที่อยากจะนำความสงบสุขกลับมาคืนมาสู่คนไทยทุกคนในประเทศนี้ โดยยึดหลักเราจะไม่เสียดินแดน และอธิปไตยแม้แต่ตารางเซ็นติเมตรเดียวตลอดระยะเวลา 1 เดือนที่ผ่านมา ที่ นายอนุทินมาเป็นนายกฯ เราไม่มีดินแดนไทยแผ่นไหน แม้แต่ 1 ตารางเซนติเมตรเสียให้กับกัมพูชา เราไม่มีอวัยวะชิ้นใดของทหารที่เสียสละที่จะเสียไปจากสถานการณ์ชายแดนกัมพูชา เราไม่ได้เห็นเลือดของทหารเหล่านั้นหยดบนผืนแผ่นดินไทย และสำคัญที่สุดเราไม่เห็นเลือดประชาชนที่หลั่งบนแผ่นดินไทย ตลอดระยะเวลาหนึ่งเดือนที่ผ่านมา ดังนั้น แนวทางที่จะเดินหน้าต่อไป รัฐบาลมีความตั้งใจที่อยากจะทำให้ทุกคนเป็นปกติที่สุด ภายใต้เงื่อนไขการรักษาไว้ซึ่งอธิปไตยของไทย
นายสิริพงศ์ กล่าวว่า ส่วนที่มีการพูดถึงเรื่อง การเปิดด่าน วันนี้ที่มีการแถลงไม่มีการพูดถึงเรื่องการเปิดด่านเลย นโยบายของรัฐบาลชัดเจนว่าด่าน ชายแดนไทยกัมพูชา จะเป็นสิ่งสุดท้ายที่รัฐบาลจะพิจารณาทำ หลังจากที่กัมพูชาดำเนินการตามเงื่อนไขทั้งหมดที่กัมพูชาได้ให้คำมั่นไว้ในถ้อยแถลงเท่านั้น ฉะนั้น ขอให้ทุกท่านมั่นใจได้ว่ารัฐบาลไทยไม่ย่อหย่อนและไม่มีทางที่จะสยบยอมต่อกัมพูชาอย่างแน่นอน
เมื่อถึงกรณีการปล่อยตัว 18 ทหารกัมพูชา นายสิริพงศ์ กล่าวว่า ก็เป็นหนึ่งในข้อเรียกร้องที่กัมพูชาขอมา ซึ่งกระบวนการเหล่านี้จะเริ่มต้นก็ต่อเมื่อกัมพูชาดำเนินการ 4 ข้ออย่างจริงจัง ฉะนั้นในวันนี้อยู่ในระหว่างการประเมินว่ากัมพูชาได้ดำเนินการตามข้อตกลง 4 ข้ออย่างจริงจังหรือไม่
เมื่อถามว่า รัฐบาลจะมีแนวทางอย่างไร ในพื้นที่ปราสาทควาย ปราสาทคนา เนิน 677 จะเจรจาอย่างไรไม่ให้ใครเสียประโยชน์ นายสิริพงศ์ กล่าวว่า เรื่องการใช้ความรุนแรงหรือการยิง จบไปตั้งแต่ สัญญาหยุดยิง 28 กรกฎาคม 2568 ดังนั้นรัฐบาลไม่สามารถใช้กำลังเปิดก่อนได้ แต่แนวทางที่รัฐบาลต้องทำคือใช้สันติวิธีโดยการเจรจา สุดท้ายแล้วในเรื่องการปักปันเขตแดน และกรณีพิพาทที่ยังเป็นปัญหาอยู่ เป็นเรื่องที่ต้องมาพูดคุยกันในระดับทวิภาคี ซึ่งหมายรวมไปถึงทุกพื้นที่ ที่ยังมีความเห็นไม่ตรงกัน
เมื่อถามว่า เจรจาขอคืนพื้นที่ มีกรอบเวลาหรือไม่ นายสิริพงศ์ กล่าวว่า ยังไม่มีกรอบเวลา ทำใน 4 ประเด็นใหญ่ไปก่อน








