เมื่อฤดูหนาวมาเยือน หลายคนอาจดีใจกับอากาศที่เย็นลง แต่สำหรับชาวกรุงเทพฯ นี่คือสัญญาณของ “ฤดูฝุ่น” ที่กลับมาพร้อมกันทุกปี ฝุ่นละอองขนาดเล็ก PM 2.5 กลายเป็นแขกไม่ได้รับเชิญที่ปกคลุมเมืองหลวงตั้งแต่เดือนพฤศจิกายนถึงมีนาคม ส่งผลกระทบต่อสุขภาพของคนทุกวัย ทั้งเด็กเล็ก ผู้สูงอายุ และผู้มีโรคประจำตัว
ฝุ่นพิษขนาดจิ๋วนี้มีเส้นผ่านศูนย์กลางเพียง 2.5 ไมครอน เล็กกว่าเส้นผมกว่า 20 เท่า สามารถเล็ดลอดเข้าสู่ระบบทางเดินหายใจ และซึมเข้าสู่กระแสเลือดได้โดยตรง เสี่ยงต่อการทำร้าย ปอด หัวใจ และสมอง ขณะเดียวกัน กรุงเทพมหานครก็เร่งเดินหน้า “แผนลดฝุ่น 365 วัน” เพื่อควบคุมและลดแหล่งกำเนิดฝุ่นอย่างเป็นระบบ พร้อมวางมาตรการรับมือวิกฤตเมื่อค่าฝุ่นสูงเกินมาตรฐาน เพื่อให้คนกรุงเทพฯ สามารถใช้ชีวิตได้อย่างปลอดภัยในช่วงฤดูฝุ่น
แพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านโรคระบบทางเดินหายใจเตือนว่า PM 2.5 ไม่ได้กระทบเพียง “ปอด” แต่ยังส่งผลร้ายต่อ หัวใจ สมอง และหลอดเลือด โดยเฉพาะในกลุ่มผู้สูงอายุ เด็กเล็ก และผู้มีโรคประจำตัว ถือเป็น “ภัยเงียบ” ที่ค่อย ๆ ทำลายสุขภาพโดยไม่รู้ตัว
กทม.เดินหน้า “แผนลดฝุ่น 365 วัน” สู้ศึกฝุ่นระยะยาว
แม้จะเป็นปัญหาที่หมุนเวียนกลับมาทุกปี แต่กรุงเทพมหานครก็ไม่ได้นิ่งนอนใจ ยังคงเดินหน้าขับเคลื่อน “แผนลดฝุ่น 365 วัน” เพื่อแก้ไขปัญหาอย่างต่อเนื่องตลอดทั้งปี ไม่ใช่เฉพาะช่วงวิกฤต เน้นมาตรการควบคุมและป้องกันอย่างต่อเนื่อง ครอบคลุมทุกภาคส่วน โดยมี 3 แนวทางหลัก
1.คุมเข้มยานพาหนะต้นเหตุหลัก ขยายมาตรการ เขตมลพิษต่ำ (Low Emission Zone : LEZ) และเตรียมพิจารณาห้ามรถบรรทุก 6 ล้อขึ้นไปวิ่งในเขตเมือง หากค่าฝุ่นเกินมาตรฐาน ยกเว้นรถที่เข้าร่วมโครงการ “Green List Plus (โปรสู้ฝุ่น)” ซึ่งส่งเสริมให้ประชาชนนำรถไปตรวจควันดำและดูแลเครื่องยนต์เพื่อลดมลพิษ
2.จัดการแหล่งกำเนิดอื่นๆ ตรวจจับควันดำจากโรงงาน รถยนต์ และไซต์ก่อสร้างอย่างต่อเนื่อง พร้อมรณรงค์ใช้ รถอัดฟาง ในพื้นที่เกษตรกรรมเพื่อลดการเผาในที่โล่ง ซึ่งเป็นต้นเหตุหลักของฝุ่นข้ามจังหวัด
3.ปกป้องสุขภาพประชาชน เปิดบริการ คลินิกมลพิษทางอากาศ ในโรงพยาบาลสังกัด กทม., จัดตั้ง ห้องปลอดฝุ่น ในศูนย์พัฒนาเด็กเล็ก, แจกหน้ากากอนามัย และขอความร่วมมือหน่วยงานรัฐ-เอกชน Work From Home เมื่อค่าฝุ่นเข้าสู่ระดับสีแดง เพื่อลดการเดินทางและการสัมผัสฝุ่นโดยตรง
มาตรการเหล่านี้อาจดูเป็นเรื่องของหน่วยงานรัฐ แต่แท้จริงแล้ว “ประชาชน” คือกำลังหลักในการทำให้แผนนี้สำเร็จ เพราะต่อให้มีนโยบายดีเพียงใด หากพฤติกรรมของคนในเมืองยังเหมือนเดิม การแก้ปัญหาฝุ่นก็ยากจะเกิดผลในระยะยาว
เราสามารถป้องกันตนเองได้ง่ายกว่าที่คิด ประชาชนสามารถช่วยลดความเสี่ยงต่อผลกระทบจากฝุ่นพิษได้ด้วยวิธีง่าย ๆ ดังนี้
- ตรวจค่าฝุ่นผ่านแอปฯ Air4Thai หรือ DustBoy ก่อนออกจากบ้าน
- สวมหน้ากาก N95 หรือ KN95 ทุกครั้งเมื่ออยู่กลางแจ้ง
- ปิดประตูหน้าต่างให้มิดชิด และใช้เครื่องฟอกอากาศในบ้าน
- หลีกเลี่ยงกิจกรรมกลางแจ้งในวันที่ค่าฝุ่นเกินมาตรฐาน
- ดื่มน้ำให้มาก พักผ่อนให้เพียงพอ และรับประทานอาหารที่มีวิตามินซี-อีสูง
- เตรียมยาประจำตัวให้พร้อม โดยเฉพาะผู้ที่มีโรคทางเดินหายใจและโรคหัวใจ
อากาศดีนั่นสามารถเริ่มจากพฤติกรรมเล็ก ๆ ของทุกคน แม้มาตรการของภาครัฐจะมีส่วนสำคัญ แต่การลดฝุ่นอย่างยั่งยืนต้องอาศัยพลังจากประชาชนด้วยเช่นกัน การไม่เผาขยะ การใช้ขนส่งสาธารณะ การปลูกต้นไม้ในบ้าน หรือการลดการใช้รถยนต์ส่วนตัวล้วนเป็นส่วนหนึ่งของการสร้าง “กรุงเทพฯ ให้เป็นเมืองที่สะอาดหายใจได้สะดวกขึ้น” พลังของคนกรุงเทพฯเมื่อร่วมมือกันย่อมใหญ่พอจะทำให้เมืองนี้กลับมาหายใจได้เต็มปอดอีกครั้ง








