วันที่ 1 พ.ย.68 ที่ผ่านมา ผศ.ดร.วันวิชิต บุญโปร่ง ที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ได้โพสต์รูปภาพพร้อมข้อความผ่านเฟซบุ๊ค Wanwichit Boonprong ระบุว่า
ผมได้มีโอกาสติดตาม รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมและคณะไปเยี่ยม ให้กำลังใจ ทหารกล้าที่ได้รับบาดเจ็บจากการสู้รบชายแดนไทย-กัมพูชา ที่โรงพยาบาลพระมงกุฎเกล้า เมื่อ เกือบ2 สัปดาห์ที่แล้ว ตั้งใจว่าจะโพสต์ลง แต่ด้วยความไว้อาลัยของคนไทยทั้งแผ่นดินต่อพระพันปีหลวง จึงต้องเว้นไว้สักระยะหนึ่งก่อน
การมาเยี่ยมรอบนี้ ได้พบทหารกล้าทั้ง 15 นาย ที่มีขวัญกำลังใจดีเยี่ยม มีทัศนคติรักชาติ รักแผ่นดิน จนผมต้องขอคารวะสุดหัวใจ
“หมวดบุ๊ค” ร้อยตรี เกียรติวงศ์ สถาวร นายทหารหนุ่มจาก ร.31 รอ. ที่กำลังใจเข้มแข็งมาก แม้จะเสียขา แต่เขาไม่โทษใครเลย เขาเกิดมาเป็นทหารที่แท้จริง จบหลักสูตรนักทำลายใต้น้ำจู่โจม (SEAL) ด้วยปณิธานที่ต้องการเจริญรอยตามคุณพ่อ ที่เป็นทหารเรือ ซึ่งเสียชีวิตขณะปฏิบัติหน้าที่อารักขาในเหตุการณ์สึนามิปี 2547 ขณะที่น้องอายุได้เพียง 3 ขวบแต่เติบโตมาได้เพราะมีคุณแม่เป็นเสาหลักเลี้ยงน้องให้เป็นผลผลิตอันทรงเกียรติของกองทัพบกไทย บุ๊คทำให้ผมว่าการเสียสละเพื่อชาติ มันยิ่งใหญ่เพียงใด
“หมวดป้อ ร.ต.ธนาวุธ เวชสงเคราะห์ ร.16 พัน 3 คนนี้ ผมก็นับถือหัวใจเขามาก ในสมรภูมิช่องอานม้า น้องป้อแบกร่างกายลูกน้องที่ไร้วิญญาณออกจาก สนามรบ ทั้งๆที่ตัวเองบาดเจ็บพอสมควร เงินที่ได้จากการสู้รบ เสี่ยงภัย ทั้งหมดเขามอบให้ครอบครัวลูกน้องที่เสียชีวิต และใช้ชีวิตในการมาเยี่ยมลูกน้องที่เหลือ และบาดเจ็บ เข้ารับการรักษาที่ รพ.พระมงกุฎเกล้าฯ ทุกวัน น้องรู้สึกผิดและโทษตัวเองตลอดเวลาที่ปกป้องลูกน้องตัวเองไม่ได้ ป้อ ทำให้ผมเห็นว่า ผู้หมวดอายุยังน้อยขนาดนี้ มีจิตวิญญาณความเป็นผู้นำ และเป็นนายในใจลูกน้อง น้องป้อ เป็นคน”ราดรี“ อ. ดำเนินสะดวก แต่ค้นหาความท้าทายมาเลือกบรรจุลง ร.16 พัน 3 จ. ยโสธร น้องจะกลายเป็นผลผลิตที่น่าภาคภูมิใจของกองทัพภาคที่ 2 ต่อไป
ครับ ในการศึกครั้งนี้ มีทหารหลายนายที่สูญเสียขา ทุกนายต่างมีกำลังใจ เนื่องจากล่าสุด น้องๆทหารได้ทดลองการวัดจัดใส่ “ขาเทียมพระราชทานที่ดีที่สุดในโลก” บ้างแล้ว รอพักฟื้นสักระยะ และทำกายภาพ ร่างกายก็จะกลับมาใช้ปกติเหมือนเดิม นี่คือของพระราชทานจากพระเจ้าอยู่หัว ที่ทำให้ทหารทุกนายมีพลังใจจะยืนหยัดใช้ชีวิตต่อไป
ทหารบางนาย ผมได้ฟังแล้วเกือบน้ำตาไหล ที่เล่าให้ฟังว่า “ผมเสียขาเท่านี้ไม่เป็นไร หรอกครับ ผมอายุมากแล้ว ผมโดนแทน น้องๆ ทหาร ร.31 เขาตามหลังมาจะโดนแทน ฝ่ายเราจะลำบากมากขึ้น ผมถือว่าการเหยียบระเบิดของผม ได้ช่วยให้เราเข้าตีพื้นที่ได้เร็วขึ้น“
ครับ ที่ผมซาบซึ้งใจ มากที่สุดทุกเตียงมีรูป มีพระบรมสาทิสลักษณ์ ในหลวงรัชกาลที่ 9 ในหลวงรัชกาลที่ 10 สมเด็จพระกนิษฐาธิราช และ “สมเด็จย่า” พอผมเห็นได้ฉุกคิดได้ เห็นน้องๆ ทหารทุกนายปฏิบัติ นี่ใช่มั้ยที่เรียกว่า“เทิดไว้เหนือเกล้า” พวกเขาเทิดทูนสถาบันอย่างไม่อาลัยเสียใจกับสิ่งที่เกิดขึ้น มันทำให้ผมผุดนึกคำขวัญของทหารที่ปฏิญาณไว้ว่า
“การป้องกันประเทศและราชบัลลังก์ จะต้องชนะหรือตายเท่านั้น จะแพ้ไม่ได้เป็นอันขาด”
ครับ ทุกคนภูมิใจในสิ่งที่ทำเพื่อประเทศอันเป็นที่รัก ขนาดตัวเองบาดเจ็บ ยังอยากกลับไปชายแดนต่อ ห่วงใยเพื่อนทหาร เสมือนเป็นครอบครัวเดียวกัน
ในขากลับ ผมได้เจอความมีน้ำใจของพี่น้องชาวไทยร่วมชาติ 3-4 ท่านได้เดินทางหอบของกินพะรุงพะรัง ทั้งผลไม้ มาเยี่ยมทหารทั้ง 15 คน ทั้งๆ ไม่ได้เป็นอะไรกัน ไม่ได้เป็นญาติ แต่เกิดความประทับใจในวีรกรรมที่เสียสละ มาเยี่ยมทุกวันจนกลายเป็นญาติผู้ป่วยไปซะแล้ว นี่แหละครับ น้ำใจในยามยาก ผมอยากให้นักการเมืองที่บอกว่าเข้าใจทหารชั้นผู้น้อยได้ดีที่สุด น่าจะหาโอกาสมาเยี่ยมทหารชั้นผู้น้อยที่นอนพักรักษาตัวที่ รพ.บ้าง จะได้รับรู้ว่ากองทัพทำอะไร ทหารทำอะไร เขาให้พวกเราได้อยู่ได้หลับตานอนได้อย่างปลอดภัย
นี่แหละครับ “มีทหารไว้ทำไม” และทำอะไรเพื่อประเทศมากกว่าที่คุณคิด








