หมายเหตุ : "รศ.ดร.สุริยะใส กตะศิลา" คณบดีวิทยาลัยผู้นำและนวัตกรรมสังคม มหาวิทยาลัยรังสิต ให้สัมภาษณ์พิเศษ รายการ "สยามรัฐสัปดาหวิจารณ์" ถึงประเด็นความเสี่ยงในการยุบสภา ก่อนกำหนด4 เดือน ความได้เปรียบเสียเปรียบของสามขั้วอำนาจหลัก คือ "พรรคเพื่อไทย-พรรคประชาชน-พรรคภูมิใจไทย" รวมถึงการประเมินผลกระทบของ ปัญหาธุรกิจสีเทาและสแกมเมอร์ ที่เชื่อมโยงกับคนในรัฐบาล จะสร้างแรงสั่นสะเทือนทางการเมืองได้หรือไม่ ตลอดจนการกลับมาของ "พรรคประชาธิปัตย์" ในสนามเลือกตั้งรอบนี้ รายการออกอากาศ ทางช่องยูทูบ Siamrathonline เมื่อวันที่ 1 พ.ย.2568
- รัฐบาล อนุทิน 1 ซึ่งเป็นรัฐบาลเสียงข้างน้อย ได้ทำงานผ่านพ้นมาแล้วกว่าหนึ่งเดือน แม้จะมีกำหนดการยุบสภาชัดเจนในปลายเดือนมกราคม 2569 แต่กลับมีกระแสความกังวลว่ารัฐบาลอาจอยู่ไม่ครบ 4 เดือน ท่านประเมินสถานการณ์การยุบสภาเร็วหรือช้า และผลกระทบต่อพรรคการเมืองอย่างไร?
ประเมินว่า ไม่มีรัฐบาลใดตั้งใจที่จะยุบสภาหลังจากที่เข้ามาบริหารงานได้เพียง 1-2 เดือน ซึ่งถือเป็นเรื่องที่ผิดธรรมชาติอย่างยิ่ง โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อนายกรัฐมนตรีเพิ่งแถลงนโยบายและรัฐมนตรีบางกระทรวงอาจยังไม่เข้าที่เข้าทาง
เรื่องผลงาน หากรัฐบาลตัดสินใจยุบสภาโดยไม่มีผลงานเด่นทิ้งไว้ให้ประชาชนนึกถึงก่อนการเลือกตั้ง จะถือเป็นเรื่องผิดวิสัย ปัจจุบัน รัฐบาลกำลังพยายามสร้างผลงาน เช่น โครงการ "คนละครึ่งพลัส" ที่ได้รับกระแสตอบรับดีกว่าที่คาด และดีกว่ารัฐบาลชุดก่อน ๆ ในแง่ของการขยายร้านค้าที่เข้าร่วม และการลงทะเบียนที่ไม่มีปัญหาระบบล่ม
ส่วนMOA ยังเป็นหลัก: MOA (บันทึกความตกลงร่วมกัน) ยังคงเป็นหมุดหมายทางการเมืองของรัฐบาลชุดนี้ และยังไม่มีสัญญาณใด ๆ ที่บ่งชี้ว่าพันธสัญญานี้จะถูกฉีกหรือยกเลิก เพื่ออยู่กันยาว
ทั้งนี้ยังมี ปัจจัยไม่คาดฝัน ยังมีปัจจัยภายนอกที่อาจเป็นตัวแปร เช่น งานพระบรมศพ การสวรรคต หรือภัยคุกคามจากปัญหาทางภูมิรัฐศาสตร์ที่ยังคงรุนแรง รวมถึงการลงนาม MOU เรื่องแร่หายาก (Rare Earth) กับสหรัฐอเมริกา ที่เป็นผลพวงจากการประชุมอาเซียน/เอเปค ซึ่งเป็นเรื่องที่ไม่ได้คาดหวังมาก่อนโดยภาพรวมแล้ว รัฐบาลน่าจะยังสามารถประคองตัวไปได้ถึง 4 เดือน หากไม่มีความจำเป็นเร่งด่วนจริง ๆ
-หากรัฐบาลยืดเวลาออกไป ฝ่ายค้านและพรรคที่มุ่งหวังกระแสความนิยมจะได้รับผลกระทบมากน้อยเพียงใด?
การเมืองยังคงเป็นการชิงไหวชิงพริบในกระแส "สามก๊ก" คือพรรคเพื่อไทย ฝ่ายแดง ,พรรคภูมิใจไทย ฝ่ายสีน้ำเงินและ พรรคประชาชน ฝ่ายสีส้ม ซึ่งพรรคอื่น ๆ ในแถว 3 แถว 4 เช่น ประชาธิปัตย์, กล้า, พลังประชารัฐ ยังไม่สามารถเป็นคู่เทียบหรือคู่แข่งที่สำคัญได้
ทั้งนี้มองว่า ผู้ถืออำนาจย่อมได้เปรียบ คือพรรคภูมิใจไทยถืออำนาจรัฐบาล จะเป็นคนได้เปรียบ โดยบรรยากาศของการโยกย้ายสมาชิกพรรคและการลาออก โมเมนตัมส่วนใหญ่จะไปทางเสื้อน้ำเงิน เพราะเป็นแกนนำรัฐบาลและถือกระทรวงสำคัญที่สามารถให้คุณให้โทษทางการเมืองได้
ขณะที่พรรคส้ม คือพรรคประชาชน ต้องผ่านด่านเรื่องการชี้มูลคดีการเข้าชื่อแก้ไข ม.112 ของ 44 สส. ก้าวไกล ซึ่งถูก ป.ป.ช. ไต่สวนอยู่ และมีความเป็นไปได้สูงมากที่จะมีการชี้มูลก่อนยุบสภา หากการชี้มูลลุกลามไปถึงผู้บริหารพรรคในปัจจุบัน เช่น หัวหน้าพรรค คุณณัฐพงษ์ เรืองปัญญาวุฒิ หรือคุณวิโรจน์ ลักขณาอดิศร ก็จะส่งผลกระทบให้เกิดความรวนและเกิดการเปลี่ยนแปลงภายในพรรค
ส่วนพรรคแดง พรรคเพื่อไทย การเปลี่ยนหัวหน้าพรรคคนใหม่ในช่วงโค้งสุดท้ายนี้ ไม่ได้สร้างความหวือหวา เพราะคนไม่ได้โฟกัสที่ตัวแคนดิเดตหัวหน้าพรรค แต่ ไปโฟกัสที่ คุณอุ๊งอิ๊งค์ และตระกูลชินวัตร และคุณทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกฯ ว่าจะบริหารพรรคนี้อย่างไร การเปลี่ยนแปลงจึงยังไม่มีนัยยะของการปฏิรูปครั้งใหญ่ เพราะยังถูกมองว่าเป็นพรรคของครอบครัวชินวัตร
- การตัดสินใจเลือกแคนดิเดตนายกฯ ของพรรคเพื่อไทยที่คาดว่าจะเป็น คุณณัฐพงษ์ คุณากรวงศ์ (ลูกเขยคุณทักษิณ) สะท้อนถึงการถอยจากตระกูลชินวัตรจริงหรือไม่? และบทบาทของคุณทักษิณหลังจากนี้จะเป็นอย่างไร?
ถึงแม้จะถอยคุณแพทองธาร ชินวัตร ออกจากตำแหน่งหัวหน้าพรรคเพื่อลดความเสี่ยงทางกฎหมาย แต่พรรคเพื่อไทยกับชินวัตรก็ยังไม่ได้ตัดขาดจากกัน ส่วนแคนดิเดตนายกฯของพรรค เชื่อว่า ยังเป็นคนวงในแม้หัวหน้าพรรคจะมีนามสกุลอื่น แต่แคนดิเดตนายกฯ ก็ยังคงเป็นคนวงในตระกูลชินวัตรอยู่ ซึ่งคาดการณ์ว่าเป็นคุณณัฐพงษ์ ลูกเขยคุณทักษิณ
เพราะพรรคนี้ยังคงเป็นพรรคของคนในตระกูลชินวัตร และการเปลี่ยนแปลงใด ๆ ขึ้นอยู่กับความพึงพอใจของคนในตระกูลนี้ การเปลี่ยนแปลงภายในพรรคเพื่อไทยยังไม่เบ็ดเสร็จเด็ดขาด
ทั้งหมดต้องรอการตัดสินใจของคุณทักษิณว่าจะได้พ้นโทษเมื่อใด และจะทำกิจกรรมทางการเมืองต่อหรือไม่ หากคุณทักษิณตัดสินใจไปต่อ การตัดสินใจต่าง ๆ ในขณะนี้จึงเป็นเพียง "ช่วงพักครึ่ง" หรือ "ช่วงพักเบรก" เท่านั้น โดยที่ คุณทักษิณยังคงเป็นเจ้าของพรรคตัวจริง
-ปัญหาเรื่องทุนสีเทา เรื่องขบวนการสแกมเมอร์ ที่มีบุคคลในรัฐบาลเข้าไปเกี่ยวข้อง จะนำไปสู่การอภิปรายไม่ไว้วางใจได้หรือไม่ และการใช้ข้อมูลนี้ในเวทีซักฟอกกับสนามเลือกตั้ง จะมีความเสียหายแตกต่างกันอย่างไร?
ปัญหาธุรกิจสีเทาและสแกมเมอร์ที่พุ่งใส่รัฐบาลมีอยู่จริง โดยเฉพาะที่บริเวณตะเข็บชายแดน แม้จะไม่ใช่เรื่องของรัฐบาลโดยรวม แต่ มีคนในรัฐบาลที่ถูกโยงว่าเข้าไปเกี่ยวข้องและได้รับผลประโยชน์โดยตรง
เชื่อว่าเรื่องนี้มีข้อมูลลึก ๆ บางอย่างอยู่ในมือของฝ่ายตรวจสอบ และข้อมูลดังกล่าวอาจเป็น "ดาบ" ที่จะถูกชักออกมาเพื่อประหัตประหารนักการเมืองที่มีอำนาจ และอาจถูกใช้ในจังหวะของการเลือกตั้ง ซึ่งอาจทำให้เกมการเมืองพลิกกระดานได้
และหากประเด็นเหล่านี้ถูกนำไปสู่เวทีซักฟอก หรือการนำไปใช้ในสนามเลือกตั้งต่างก็สร้างความเสียหายอย่างร้ายแรงทั้งสองสนาม หากเดินสู่การซักฟอก (สนามแรก) ถ้าฝ่ายค้านมีข้อมูลที่ดี รัฐบาลอาจไปไม่ถึงการเลือกตั้ง พรรคอาจแตก หรือเกิดรอยร้าวในรัฐบาล
และหากใช้ในสนามเลือกตั้ง สนามที่สอง หากไม่ซักฟอกในสภา แต่ไปใช้ในระหว่างการหาเสียงเลือกตั้ง อันนั้นก็สามารถทำให้พังได้เช่นกัน ดังนั้นท่านนายกฯ และแกนนำรัฐบาลต้องเร่งเคลียร์เรื่องนี้ให้ชัดเจน ถ้าตัวเองไม่เกี่ยวข้องยิ่งต้องเคลียร์ให้สิ้นสงสัย ก่อนเข้าสู่สนามเลือกตั้ง
- โอกาสของพรรคประชาธิปัตย์ในการกลับมาทวงคืนสนาม กทม. และภาคใต้ หลังการกลับมาของคุณอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ มีมากน้อยเพียงใด?
หากมีการเลือกตั้งเกิดขึ้นภายใน 3-4 เดือนนับจากนี้ ถือว่ายังเร็วเกินไปสำหรับการกลับมาของคุณอภิสิทธิ์และทีมงาน ที่จะสามารถสร้างกระแสให้ทันก่อนการเลือกตั้งครั้งหน้าได้ เนื่องจากต้องใช้เวลาทำงานหนักและเสริมทีมเป็นอย่างมาก
การกลับมาครั้งนี้จึงน่าจะเป็น ภารกิจยาวในการกอบกู้ฟื้นฟูสร้างประชาธิปัตย์ใหม่ เพื่อเตรียมพร้อมสำหรับการเลือกตั้งในครั้งถัดไปมากกว่า หลายคนยังคงไตร่ตรองอยู่ว่าจะกลับมาอยู่กับพรรคประชาธิปัตย์ หรือจะย้ายไปพรรคอื่น ต้องให้เวลาหัวหน้าคนใหม่ในการแสดงให้เห็นว่าการกลับมาครั้งนี้มีบทเรียนและทิศทางใหม่
- จุดเปลี่ยนสำคัญในการเมืองภายในประเทศที่ควรจับตาในเวลานี้คืออะไร?
มีสามประเด็นหลักที่เปราะบางที่สุดและต้องจับตา 1. ความเปราะบางของ MOA ของพรรคร่วมรัฐบาล: ต้องดูว่าพันธสัญญาดังกล่าวจะถูกฉีกเมื่อใด เนื่องจากดูเหมือนแต่ละวันดำเนินไปอย่างระทึกใจ
2. การเปิดข้อมูลสแกมเมอร์ ต้องดูว่าข้อกล่าวหาและข้อมูลที่โยงนักการเมืองจะถูกเปิดเผยออกมาหรือไม่ เพราะหากถูกเปิดจะส่งผลกระทบอย่างรุนแรงทั้งในเวทีซักฟอกและการเลือกตั้ง
และ3. ภาวะผู้นำของท่านนายกฯ ต้องดูว่าท่านจะสามารถ ควบคุมสถานการณ์ (handle) และกุมสภาพ แรงกดดันทางการเมืองที่หนักหน่วง ซึ่งท่านอาจไม่เคยเจอมาตลอด 30-40 ปีที่ผ่านมาได้หรือไม่








