ดร.นงค์ลักษณ์ โชติวิทยธานินทร์ บัณฑิตวิทยาลัย มหาวิทยาลัยสวนดุสิต นำเสนอบทความ เรื่อง " Thesis Dialogue: เปลี่ยน “วิทยานิพนธ์” ให้เป็น “บทสนทนา”" ระบุว่า
ห้องเรียนระดับบัณฑิตศึกษา คำว่า “วิทยานิพนธ์” ถูกพูดถึงด้วยน้ำเสียงที่ผสมระหว่างความภาคภูมิใจกับความเหนื่อยล้า เพราะมันคือผลงานที่ใช้ทั้งเวลา แรงกาย แรงใจ และทรัพยากรแทบทุกมิติของชีวิต เพื่อพิสูจน์ความเป็น “ผู้รู้จริง” ในศาสตร์ใดศาสตร์หนึ่ง แต่คำถามที่สำคัญกว่าการ “ทำสำเร็จหรือไม่” อาจคือ “สิ่งที่เราลงทุนไปทั้งหมด คุ้มค่าแค่ไหน?”
การศึกษาระดับปริญญาโทและเอก ไม่ได้เป็นเพียงการเรียนต่อ แต่เป็นการเดินทางระยะยาวของการเปลี่ยนแปลงตนเอง ทั้งในเชิงความคิดและชีวิต การทำวิทยานิพนธ์หนึ่งเล่มอาจใช้เวลาตั้งแต่ 2–5 ปี หรือนานกว่านั้นสำหรับบางคน ที่ต้องเผชิญกับการอ่านและวิเคราะห์งานวิจัยนับร้อยชิ้น การเก็บข้อมูลภาคสนามที่กินเวลาเป็นเดือน และการแก้ไขซ้ำแล้วซ้ำเล่าจนกว่าจะผ่านการสอบปากเปล่าได้
นอกจากเวลาแล้ว “เงิน” ก็เป็นต้นทุนที่ไม่ควรถูกมองข้าม ค่าเล่าเรียน ค่าเดินทางเพื่อเก็บข้อมูล ค่าอุปกรณ์วิจัย และค่าใช้จ่ายในชีวิตประจำวันที่ยังต้องดำเนินไป ล้วนรวมเป็นเม็ดเงินจำนวนไม่น้อย ขณะเดียวกัน “สุขภาพกายและใจ” ก็อาจถูกสึกหรอโดยไม่รู้ตัว
ทั้งจากความเครียด การอดนอน และความรู้สึกโดดเดี่ยวของการอยู่ในเส้นทางที่มีคนเข้าใจไม่มาก
เมื่อมองในเชิงเศรษฐศาสตร์ วิทยานิพนธ์คือการลงทุนที่มีต้นทุนสูง แต่ผลตอบแทนไม่ได้อยู่แค่ในรูปตัวเงิน หากอยู่ใน “ทุนมนุษย์” (Human Capital) และ “ทุนสังคม” (Social Capital) ที่ผู้เรียนได้รับกลับมา เช่น ทักษะการคิดเชิงวิพากษ์ การสื่อสารเชิงวิชาการ การจัดการโครงการวิจัย และการทำงานอย่างมีวินัย ผลตอบแทนเหล่านี้จะไม่เห็นผลในทันที แต่จะค่อย ๆ สะสมเป็นคุณค่าในระยะยาว
ในระดับมหาวิทยาลัย การมีผลงานวิทยานิพนธ์คุณภาพสูงช่วยเสริมความน่าเชื่อถือของสถาบัน สร้างองค์ความรู้ใหม่ และเป็นฐานให้เกิดการตีพิมพ์หรือการนำไปใช้จริงในสังคม หากมองในเชิงมหภาค การลงทุนในงานวิจัยของบัณฑิตคือการลงทุนในทุนทางปัญญาของประเทศ ที่จะกลับมาสร้างผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจ สังคม และนวัตกรรมในอนาคต
แต่ปัญหาที่พบบ่อยคือ วิทยานิพนธ์จำนวนมากจบลงเพียงแค่ “การส่งเล่ม” หรือ “การสอบผ่าน” โดยไม่ได้กลายเป็นองค์ความรู้ที่สังคมรับรู้ได้จริง ทั้งที่หัวใจของงานวิจัยคือการ “แบ่งปันความรู้” การเผยแพร่วิทยานิพนธ์ไม่ควรถูกจำกัดไว้แค่ในฐานข้อมูลของบัณฑิตวิทยาลัย แต่ควรถูก “แปลงภาษา” ให้กลายเป็นบทสนทนาที่ผู้คนทั่วไปเข้าถึงได้
แนวคิด Thesis Dialogue หรือ “วิทยานิพนธ์ในรูปแบบบทสนทนา” นับว่าน่าสนใจ เพราะเป็นการเปลี่ยนจากการสื่อสารเชิงเดี่ยว (Monologue) มาเป็นการสื่อสารเชิงโต้ตอบ (Dialogue) ระหว่างนักวิจัยกับสังคม ไม่ว่าจะผ่านบทความเชิงความคิดเห็น การเสวนาเชิงวิชาการ พอดแคสต์ สื่อออนไลน์ หรือแม้แต่การสร้างกิจกรรมเพื่อสาธารณะ จุดมุ่งหมายคือทำให้องค์ความรู้ที่ได้จากวิทยานิพนธ์กลายเป็น “พลังสื่อสาร” ที่มีชีวิต
กระบวนการสอบวิทยานิพนธ์ไม่ใช่เพียงการวัดความสามารถในการป้องกันผลงานของผู้ทำ แต่คือการก้าวข้ามจากสถานะ “ผู้เรียนรู้” สู่ “ผู้สร้างความรู้” การสอบที่ดีจึงควรเป็น “เวทีแลกเปลี่ยน” มากกว่าการตัดสิน ในหลายประเทศ นักศึกษาปริญญาเอกต้องเผยแพร่ผลงานผ่านบทความในวารสาร การประชุมวิชาการ หรือรูปแบบเปิดเผยอื่น ๆ ก่อนจบการศึกษา เพื่อให้เกิดการแลกเปลี่ยนมุมมองจากชุมชนวิชาการจริง ๆ
มหาวิทยาลัยในไทยก็เริ่มหันมาให้ความสำคัญกับการเผยแพร่งานวิจัยมากขึ้น การสร้างแพลตฟอร์มออนไลน์ของบัณฑิตวิทยาลัย หรือการสนับสนุนให้มีเวที “Thesis Showcase” เพื่อเปิดพื้นที่ให้นักศึกษาได้นำเสนอผลงานต่อสาธารณะ ถือเป็นก้าวสำคัญในการเปลี่ยนวิทยานิพนธ์ให้เป็น “สาธารณะประโยชน์” ไม่ใช่เพียง “หลักฐานการจบ”
การทำวิทยานิพนธ์ที่คุ้มค่าไม่ใช่เพียงการได้ปริญญา แต่คือการได้ใช้ความรู้ที่ค้นพบเพื่อตอบแทนสังคม งานวิจัยด้านจิตวิทยาอาจช่วยให้ชุมชนเข้าใจปัญหาสุขภาพจิต งานวิจัยด้านเทคโนโลยีอาจต่อยอดเป็นนวัตกรรมเพื่อการเรียนรู้ งานด้านมนุษยศาสตร์อาจช่วยรักษาภูมิปัญญาท้องถิ่น การคืนผลลัพธ์เหล่านี้ให้แก่สังคมคือการเปลี่ยน “ต้นทุนส่วนตัว” ให้กลายเป็น “ผลกำไรร่วม” ของส่วนรวม
นอกจากนี้ การสร้างเครือข่ายระหว่างนักศึกษาระดับบัณฑิตศึกษา อาจารย์ที่ปรึกษา และชุมชนผู้ใช้ประโยชน์จากงานวิจัย เป็นอีกวิธีหนึ่งในการขยายผลความคุ้มค่าในระยะยาว เพราะงานวิจัยที่ดีจะไม่จบลงที่การตีพิมพ์ แต่จะเริ่มต้นที่ “การนำไปใช้จริง”
หากมองให้ลึก วิทยานิพนธ์คือบทสนทนาระหว่าง “ความฝัน” กับ “ความจริง” ระหว่าง “ปัญหาของสังคม” กับ “ความสามารถของปัจเจก” เมื่อเราเปลี่ยนมุมมองจากการทำเพื่อ “ให้จบ” มาเป็นการทำเพื่อ “ให้เกิดการพูดคุยต่อ” จะเห็นว่าวิทยานิพนธ์ไม่ได้สิ้นสุดที่วันสอบ แต่เพิ่งเริ่มต้นการมีชีวิตในฐานะองค์ความรู้ที่หมุนเวียนในสังคม
ทั้งนี้ บัณฑิตวิทยาลัย มหาวิทยาลัยสวนดุสิต ได้จัดบทสนทนาจากวิทยานิพนธ์ “Thesis Dialogue: Turning Research into Conversation Ep.1 - มองทวีบุญยเกตุ” ในวันจันทร์ที่ 3 พฤศจิกายน 2568 เวลา 10.15 - 11.15 น. ณ ห้องประชุมศาลาชื่นอารณ์ โดยมีวิทยากรร่วมสนทนาคือ รศ.ดร.สุขุม เฉลยทรัพย์ รศ.ดร.ธนภัทร ปัจฉิม รศ.ดร.จิรานุช โสภา ผศ.ดร.สุภาภรณ์ ตั้งดำเนินสวัสดิ์ และรศ.ดร.ธนิตา เลิศพรกุลรัตน์ กรรมการสอบภายนอกจาก มศว. และพ.ต.อ.ณภัทร จุลละบุษปะ เจ้าของผลงานวิทยานิพนธ์ระดับปริญญาเอก ‘ภาวะผู้นำในสถานการณ์วิกฤต: กรณีศึกษา นายทวี บุณยเกตุ’ ร่วมด้วย
สำหรับนักศึกษาปริญญาเอกแล้ว วิทยานิพนธ์คือ เครื่องมือในการสร้างอัตลักษณ์ทางวิชาการ สำหรับอาจารย์ที่ปรึกษา คือเวทีบ่มเพาะนักคิดรุ่นใหม่ และสำหรับคณบดีบัณฑิตวิทยาลัย คือการลงทุนเชิงยุทธศาสตร์ของมหาวิทยาลัยในการสร้าง ทุนมนุษย์คุณภาพสูง ดังนั้น “Thesis Dialogue” ไม่ใช่แค่แนวคิดเชิงวาทศิลป์ แต่คือแนวทางใหม่ของการพัฒนาคุณค่าในระบบการศึกษาไทยที่เปลี่ยนงานวิจัยให้กลายเป็น “บทสนทนา” ที่มีชีวิต เชื่อมโยงผู้คน และส่งต่อความรู้สู่อนาคต








