ทวี สุรฤทธิกุล
กระแสการเมืองก็คล้ายกับกระแสน้ำกระแสลม พัดพาโบกโบยไปมาและเปลี่ยนแปลงไปโดยตลอด ทว่าบางครั้งก็อาจจะหวนกลับมา เพียงแต่รูปการณ์หรือรายละเอียดนั้นอาจจะเปลี่ยนไป
เรายังอยู่ในประเด็นที่ผู้เขียนได้จัดกลุ่มสนทนากับนักศึกษา เมื่อหลังการเลือกตั้งปี 2566 ที่ผู้เขียนได้ตั้งประเด็นว่า “ในการเลือกตั้ง กระแสกับกระสุนอะไรสำคัญกว่ากัน” ซึ่งส่วนใหญ่เห็นว่า “กระแสสำคัญกว่า” ตามมาด้วยประเด็นที่ว่า “กระแสสร้างกับกระแสโดยบังเอิญอะไรมีประสิทธิภาพมากกว่ากัน” ซึ่งคำตอบก็ออกมาว่า “กระแสโดยบังเอิญ” ซึ่งผู้เขียนได้ให้ความเห็นเพิ่มเติมกับกลุ่มนักศึกษาว่า กระแสโดยบังเอิญนี้ก็เหมือนกรรมเก่าในหลักศาสนา หรือผลจากสิ่งที่ทำมาในอดีตตามหลักวิทยาศาสตร์ ที่พรรคการเมืองแต่ละพรรคหรือผู้นำของพรรคการเมืองนั้นได้กระทำมา ซึ่งจะได้มาอธิบายเพิ่มเติมในบทความนี้ในสัปดาห์นี้เพื่อให้ช่วยกันมองต่อไปในอนาคต “ถ้ามีเลือกตั้งครั้งใหม่” ว่า “กระแสโดยบังเอิญที่จะเกิดขึ้นนั้นคืออะไร?”
ช่วงนี้ถ้าใครที่ติดตามการเมืองไทยอย่างเข้มข้น ก็จะมองเห็นว่าแต่ละพรรคกำลังมีการ “สร้างกระแส” กันอย่างคึกคัก อย่างพรรคภูมิใจไทยที่เป็นแกนนำของรัฐบาลปัจจุบัน ก็พยายามสร้างนโยบายต่าง ๆ เช่น คนละครึ่งพลัส และน่าจะมีนโยบายลดแลกแจกแถมแบบนี้ออกมาอีกมาก หรือพรรคเพื่อไทยและพรรคประชาธิปัตย์ก็มีการ “รีโนเวต” พรรคครั้งใหญ่ ด้วยการเปลี่ยนหัวหน้าพรรคและโครงสร้างต่าง ๆ ของพรรค ส่วนพรรคประชาชนก็เร่งเร้าในการออกกฎหมายต่าง ๆ ในสภา รวมถึงร่างรัฐธรรมนูญที่ได้ผ่านวาระแรกไปแล้ว แต่ที่เป็นข่าว “วูบวาบ” ขึ้นมาโดยตลอด ก็คือการสร้างกระแสที่จะสู้รบกับกองทัพและ “แซะ” ระบบราชการ ที่กูรูบางท่านมองว่าก็คือการแซะรัฐบาล (แน่นอนก็คือพรรคภูมิใจไทย) นั่นเอง ทั้งนี้ก็เพื่อชิงความได้เปรียบของแต่ละพรรคในการเลือกตั้งที่รัฐบาลได้กำหนดไว้แล้วว่าจะยุบสภาภายในปลายเดือนมกราคม 2569
ด้วยทฤษฎี “กรรมเก่า” หรือกระแสของสิ่งที่แต่ละพรรคได้ทำมาในอดีต ผู้เขียนขอเปรียบเทียบพรรคทั้งสาม คือ พรรคภูมิใจไทย พรรคประชาชน และพรรคเพื่อไทย ที่ “น่าจะ” เป็นพรรคการเมืองที่ได้จำนวน ส.ส.ในลำดับที่ 1 ถึง 3 ตามลำดับในการเลือกตั้งครั้งที่จะถึงนี้ ว่ามี “กรรมเก่า” อะไร ที่จะส่งผลต่อคะแนนเสียงที่จะเกิดขึ้นกับแต่ละพรรคนั้นอย่างไร
ในกรณีของพรรคภูมิใจไทย พรรคนี้ได้ชื่อว่าเป็นพรรคแนวอนุรักษ์ที่มีความสัมพันธ์ที่ดีกับสถาบันเชิงอนุรักษ์ต่าง ๆ โดยเฉพาะระบบราชการ ทหาร และสถาบันพระมหากษัตริย์ อันเป็นกระแสการเมืองหลักของคนไทยกลุ่มใหญ่ (ที่กำลังเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุ) แต่กระนั้นคนกลุ่มนี้ก็ค่อนข้าง “ถือดี” อย่างหนึ่งก็คือค่อนข้างจะสงวนความคิดเห็นหรือมีความระมัดระวังในการไปใช้สิทธิ์ที่จะเลือกใคร แบบว่าค่อนข้างจะ “คิดมาก” นั่นเอง และอีกอย่างหนึ่งก็คือมักจะเลือกสรรแต่ “สิ่งดี ๆ” ซึ่งพรรคภูมิใจไทยก็มีจุดด้อยในเรื่องนี้ เพราะอยู่ในกลุ่มของนักการเมือง “สีเทา” ที่อาจจะทำให้คาดการณ์คะแนนนิยมได้ยาก แต่ก็ “มีบุญ” ที่ได้มาเป็นรัฐบาลในช่วงที่มีพระราชพิธีพระบรมศพสมเด็จพระนางเจ้าพระราชชนนีพันปีหลวง ที่พรรคนี้ได้กลายเป็นพรรคที่มีความโดดเด่นที่สุด ที่คนไทยพอจะเชื่อถือได้พอสมควรถึงความรับผิดชอบในพระราชพิธีอันยิ่งใหญ่นี้ ซึ่งก็พอดีกับที่จะต้องมีการเลือกตั้งในช่วงเวลาสำคัญ ก็อาจจะเป็นแรงเสริม “สร้างกระแส” ให้เกิดขึ้นได้
พรรคต่อมาพรรคประชาชน พรรคนี้ขายกระแสของคนรุ่นใหม่ ซึ่งประสบความสำเร็จมาด้วยดีตั้งแต่การเลือกตั้งในปี 2562 มาจนถึงครั้งล่าสุดในปี 2566 เพียงแต่ยังไม่ได้เป็นรัฐบาล (แม้จะสนับสนุนให้เกิดรัฐบาลชุดนี้ขึ้น แต่ก็เป็นด้วยภาวะจำยอมหลายอย่าง) แถมยังถูก “ตามล้างตามผลาญ” ด้วยนิติสงครามต่าง ๆ นั่นก็เพราะกรรมเก่าที่พรรคนี้รวมถึงผู้สนับสนุนได้ “ละเมิด” สถาบันสูงสุด แต่พรรคนี้ก็ยังได้รับความนิยมอย่างสูงในหมู่คนรุ่นใหม่ในปัจจุบัน ที่ยังระดมสรรพกำลังอยู่ในโลกโซเชียล ด้วยยังหวังถึง “โลกหน้า - โลกใหม่” อย่างที่พวกเขามีความเชื่อร่วมกัน อย่างไรก็ตาม กลุ่มคนที่เคยสนับสนุนพรรคนี้มาตั้งแต่ที่ยังเป็นพรรคอนาคตใหม่จนมาถึงเป็นพรรคประชาชนก็เติบโตขึ้นเรื่อย ๆ ทัศนคติหรือความเชื่อทางการเมืองนั้นก็น่าจะเปลี่ยนแปลงไปได้ โดยเฉพาะการแสดงบทบาทของนักการเมืองในพรรคประชาชนนี้เอง ที่บางส่วนก็ “แกว่ง ๆ” หรือพยายาม “สร้างดาวคนละดวง” แบบว่าเอาดีเอาเด่นของแต่ละคนมากเกินไป รวมถึงที่บางคนก็เริ่มจะเอนเอียงไปเข้าด้วยกับนักการเมืองแบบเก่า ๆ ที่เน้น “อุดมกิน” มากกว่า “อุดมการณ์” นั้นด้วย
พรรคสุดท้ายคือพรรคเพื่อไทย พรรคนี้ยังมีกรรมเก่าที่ส่งเสริมก็คือ “บุญคุณของทักษิณ” ที่ได้สร้างไว้ ที่ยังมีคนไทยจำนวนมาก “ศรัทธา” อยู่อย่างแข็งแรง (“ศรัทธา” นี้ผู้เขียนเคยเขียนอธิบายว่า เป็นผลจากนโยบายของพรรคเพื่อไทยในช่วง พ.ศ. 2544 ถึง 2548 ที่ให้ความสำคัญกับคนรากหญ้า ที่ผู้เขียนเรียกว่า “นโยบายเห็นหัวคนจนและผู้ด้อยโอกาส” ซึ่งระบบเก่าไม่ค่อยให้ความสำคัญกับคนไทยกลุ่มนี้ ที่มีอยู่ถึง 70- 80 เปอร์เซ็นต์) ดังจะเห็นได้จากการเลือกตั้งในทุกครั้งตั้งแต่ พ.ศ. 2550 มาจนถึง 2566 ที่ได้จำนวน ส.ส.เป็นอันดับต้น ๆ เสมอมา รวมถึงที่ได้เป็นแกนนำในการจัดตั้งรัฐบาลนั้นด้วย แม้ว่าในตอนนี้ “ผู้นำจิตวิญญาณ” ของพรรคนี้จะถูกจำขัง แต่ด้วย “อภินิหาร” ต่าง ๆ ที่ผู้นำคนนี้เคยสร้างสมไว้ ก็ยังเป็นที่เชื่อมั่นของคนไทยกลุ่มนี้ (ที่น่าจะยังมีอยู่ 40 - 50 เปอร์เซ็นต์ของคนในชนบทและคนยากคนจน) และจะยังเลือกพรรคเพื่อไทยต่อไป แม้จะเปลี่ยนหัวหน้าพรรคไปแล้ว แต่หลายคนก็ยังเชื่อว่า “คนในคุก” นั้นคงไม่ทอดทิ้งพรรคนี้ และจะยังระดมหรือ “ปลุกเร้า - ทุ่มเท” ให้บรรดาสาวกและผู้สนับสนุนต่าง ๆ ช่วยกันสร้างพรรคให้ยิ่งใหญ่ขึ้นอีกครั้ง ซึ่งน่าจะเป็นไปได้ไม่ยากสำหรับพรรคที่มีบุคคลที่มีประสบการณ์ทางการเมืองต่าง ๆ มากมาย และสามารถกระทำได้แม้แต่ “สิ่งที่ไม่ดี” เพื่อเอาชนะในการทางการเมืองนี้ (เว้นแต่ว่ามี “ใคร” มีอันเป็นไป หรือแกนนำต่าง ๆ ถอดใจ)
ผู้เขียนอยากจะสรุปในตอนท้ายนี้ว่า “กระแสโดยบังเอิญ” ที่อาจจะเกิดขึ้นได้นั้น กระแสหลัก ๆ ก็ยังต้องเป็น “กระแสคุณงามความดี” หรือกระแสที่หวังว่าจะเกิดสิ่งดี ๆ ขึ้นในสังคมไทย แม้แต่พรรคเพื่อไทย ตอนนี้ก็มีการสร้างกระแสกันแล้วว่า “คนในคุก” จะกลับเนื้อกลับตัว และขอให้คนไทยเลือกพรรคของเขาเพื่อที่ได้ทำสิ่งดี ๆ ให้เกิดขึ้นกับคนไทยต่อไป เช่นเดียวกันกับพรรคการเมืองบางพรรคที่มี “แบรนด์เนม” ว่าเป็นพรรคของคนรุ่นใหม่ ก็กำลัง “รีแบรนด์” เช่นกันว่า จะสร้าง “สถาบันสูงสุดในแบบใหม่” ที่ดีกว่าเดิมนั้นด้วย
นักการเมืองเหล่านี้คงคิดว่า “คนไทยเชื่อง่ายลืมง่าย” ลองยุบสภาเลือกตั้งใหม่ดูสิ แล้วจะได้เห็นกัน!








