เสือตัวที่ 6
การต่อสู้กับรัฐเพื่อแบ่งแยกการปกครองจากรัฐไปสู่ความเป็นอิสระในการปกครองกันเองตามวิถีที่ต้องการของกลุ่มคนที่รวมตัวกันทางแนวคิดอุดมการณ์อันแรงกล้าและผลิตยุทธศาสตร์การต่อสู้อย่างเป็นระบบ จึงทำให้ขบวนการของคนกลุ่มเล็กๆ ในพื้นที่ปลายด้ามขวานสามารถดำรงและขยายศักยภาพในการต่อสู้กับรัฐได้อย่างเข้มข้นต่อเนื่องยาวนานมาหลายสิบปี และหนทางที่กลุ่มขบวนการแบ่งแยกการปกครองจากรัฐกลุ่มนี้ประการหนึ่งก็คือความพยายามแสวงจุดร่วม สงวนจุดต่างของผู้ร่วมเจตนารมณ์ของคนในขบวนการที่มีหลายกลุ่ม เพื่อสานพลังการทวงคืนแผ่นดินที่อ้างว่าเป็นของพวกเขามาแต่เดิมให้เป็นพลังการต่อสู้ร่วมกัน จนรัฐทำความเข้าใจปรากฏการณ์ดังกล่าวได้ยาก
และการเดินหน้าการต่อสู้กับรัฐได้อย่างคงเส้นคงวา ทั้งยังเพิ่มพลังการต่อสู้ของขบวนการให้กล้าแข็งยิ่งขึ้น ก็ต้องมีกระบวนการที่เป็นระบบในการสานต่อแนวคิดอุดมการณ์การต่อสู้ของขบวนการนี้เพื่อทวงคืนเอกราชบนดินแดนปัตตานีให้จงได้แม้จะต้องใช้เวลานานเพียงใดก็ตาม โดยใช้กระบวนการบ่มเพาะแนวคิดอุดมการณ์ทวงคืนเอกราชปัตตานีที่ขับเคลื่อนทั้งในระบบโรงเรียนและนอกระบบโรงเรียน กล่าวคือ ขบวนการนี้ได้ดำเนินการบ่มเพาะแนวคิดอุดมการณ์เอกราชปัตตานีทั้งในสำนักสอนศาสนาอิสลามแบบดั้งเดิมที่ชื่อโรงเรียนปอเนาะ และโรงเรียนเอกชนสอนศาสนาอิสลามที่มีอยู่มากมายทั่วพื้นที่ปลายด้ามขวาน รวมทั้งโรงเรียนตาดีกาหรือศูนย์การศึกษาอิสลามประจำมัสยิด ซึ่งเป็นโรงเรียนสอนอิสลามในพื้นที่โดยเปิดสอนเฉพาะเยาวชนที่นับถือศาสนาอิสลาม อายุระหว่าง 5-12 ปี ในวันเสาร์-อาทิตย์ นอกจากนี้ขบวนการนี้ยังมีการสานต่อการบ่มเพาะแนวคิดอุดมการณ์ให้กล้าแข็งยิ่งขึ้นในกลุ่มเยาวชนในระดับอุดมศึกษาตามสถานศึกษาในพื้นที่อีกด้วย
การบ่มเพาะแนวคิดอุดมการณ์การต่อสู้เพื่อทวงคืนเอกราชปัตตานีเป็นปัจจัยสำคัญในการขับเคลื่อนการต่อสู้สู่เป้าหมายเอกราชได้อย่างเป็นรูปธรรม ด้วยกรรมวิธีในการบ่มเพาะแนวคิดอุดมการณ์การต่อสู้เพื่อเอกราชปัตตานีดังกล่าว โดยอธิบายความหมายเพื่อการปลุกเร้าอุดมการณ์การต่อสู้เพื่อเอกราชให้ยึดโยงสอดรับกับแนวคิดตามคำสอนทางศาสนาอย่างกลมกลืน แม้รัฐจะพยายามกล่าวว่าเป็นการบิดเบือนคำสอนของศาสนาก็ตาม หากแต่การโต้แย้งการอธิบายความหมายคำสอนเหล่านั้น ก็ไม่สามารถหักล้างการอธิบายความหมายของคำสอนทางศาสนาเพื่อนำไปสู่การบ่มเพาะแนวคิดอุดมการณ์เอกราชปัตตานีได้แม้แต่น้อย ในทางกลับกันการอธิบายความหมายของหลักการทางศาสนาที่นักสร้างแนวร่วมขบวนการแห่งนี้ กลับเป็นผลให้เยาวชนในพื้นที่มีความเชื่อมั่นศรัทธาในการแปลความหมายเหล่านั้นมากขึ้น ผ่านกระบวนการสร้างวาทกรรมในการบ่มเพาะแนวคิดอุดมการณ์เอกราชปัตตานี ที่อธิบายความว่าการฟัตวาคือคำวินิจฉัยหรือคำอธิบายทางกฎหมายอิสลามที่กล่าวอ้างว่าพื้นที่ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้เป็นดินแดนดารุลฮารบี หรือเป็นดินแดนที่ต้องทำสงครามเพื่อศาสนาอิสลาม เพราะดินแดนอันเป็นของพวกเขาแต่เดิมแห่งนี้ได้ถูกยึดครองโดยสยามที่คนมลายูมุสลิมในพื้นที่ถูกรังแก กดขี่ ข่มเหง และผู้นำรัฐใช้การปกครองด้วยความไม่เป็นธรรม ใช้มาตรฐานที่ต่างกันในการปกครอง มีนโยบายที่เป็นการทำลายอัตลักษณ์ของคนมุสลิม เมื่อเป็นดังนั้นแล้ว คนในพื้นที่ชาวมลายูมุสลิมจึงมีความชอบธรรมที่จะต่อสู้ในทุกวิถีทางที่พวกเขามีกำลังที่จะทำได้ ในความหมายว่าเป็นการญีฮาด จึงเป็นการต่อสู้เพื่อศาสนากับผู้รุกรานยึดครอง จึงเป็นหน้าที่ (วาญิบ) ของคนมลายูมุสลิมทุกคนที่ต้องร่วมกันต่อสู้
การบ่มเพาะแนวคิดอุดมการณ์การต่อสู้เพื่อเอกราชปัตตานีที่ดำเนินการมาอย่างต่อเนื่องยาวนานจึงปรากฏผลเป็นตัวบ่งชี้ว่าการบ่มเพาะแนวคิดอุดมการณ์เหล่านั้นกำลังเบ่งบานขยายวงกว้างและซึมลึกเข้าไปในจิตวิญญาณของเยาวชนในพื้นที่อย่างยากที่จะมีใครจะแปลเปลี่ยนแนวคิดอุดมการณ์อันแรงกล้าเหล่านั้นได้ โดยปรากฏให้เห็นผ่านการแสดงออกในกิจกรรมที่หลากหลายของเยาวชนในพื้นที่ อาทิ เมื่อ 19 ต.ค. 2568 พิธีเปิดกิจกรรมกีฬาชุมชนสัมพันธ์ครั้งที่ 18 ประจำปี 2568 ณ ศูนย์การศึกษาอิสลามประจำมัสยิดตานีกานูหะอ์ดุลอิสลามียะห์ สุเหร่าบาโลย ม.3 ต.บาโหย อ.ยะหริ่ง จว.ปน. มีเยาวชนชายเปอร์มูดอ จำนวน 43 คน เยาวชนหญิง จำนวน 50 คน เด็กตาดีกา ประมาณ 100 คน โดยมีเยาวชนชายเดินขบวนที่มีรูปแบบคล้ายทหารนักรบในรูปแบบต่างๆ มีสิ่งเทียมอาวุธ มีกระเป๋าเป้ด้านหลังติดธงปาเลสไตน์ และเยาวชนหญิงถือธงปาเลสไตน์ผืนใหญ่ โดยกล่าวอ้างว่าเป็นการแสดงออกเพื่อให้กำลังใจชาวปาเลสไตน์ในฉนวนกาซ่า หากแต่แท้จริงแล้วเป็นการแอบแฝงเจตนาร้ายต่อความเป็นปึกแผ่นของชาติที่ขบวนการนี้แอบอ้างเปรียบเทียบว่าปัตตานีคือปาเลสไตน์ 2 ที่มลายูมุสลิมทุกคนต้องต่อสู้เพื่อดินแดนของอิสลาม อันเป็นการทวงคืนเอกราชของรัฐปัตตานีโดยเป็นการญีฮาดซึ่งเป็นการต่อสู้เพื่อศาสนาโดยแท้ และถือเป็นวาญิบอันเป็นหน้าที่ที่มุสลิมทุกคนต้องปฏิบัติ ทำให้มีเยาวชนถูกหล่อหลอมบ่มเพาะแนวคิดอุดมการณ์การต่อสู้จนเข้าร่วมขบวนการการต่อสู้กับรัฐในทุกรูปแบบ โดยเฉพาะเมื่อคนเหล่านั้นมีสถานะเป็นกาฟิรฮารบี หรือคนที่ปฏิเสธอิสลามที่อาศัยอยู่ในดินแดนแห่งสงคราม หรือคนๆ นั้นเป็นไส้ศึก เป็นส่วนหนึ่งหรือร่วมมือกับของฝ่ายตรงข้าม (รัฐสยาม) เพื่อขัดขวาง ต่อต้านการต่อสู้ของขบวนการ ฉะนั้นแนวร่วมขบวนการจึงอ้างว่าพวกเขามีความชอบธรรมที่จะโจมตีคนเหล่านั้นได้ เพราะไม่ใช่ผู้บริสุทธิ์ตามที่ฝ่ายตรงข้าม (รัฐสยาม) กล่าวถึงแต่อย่างใด
ทั้งยังขยายความเข้มข้นของอุดมการณ์มากขึ้นผ่านปรากฏการณ์แย่งชิงร่างผู้เสียชีวิตชาวมลายูมุสลิมนำไปเชิดชูว่าเป็นนักรบของศาสนาที่เสียชีวิตจากการปะทะกับเจ้าหน้าที่รัฐ พร้อมกล่าวพระนามขององค์อัลเลาะฮ ควบคู่กับการตะโกนเรียกร้องเอกราชอย่างกึกก้องด้วยคำว่าเมอเดก้า อันเป็นตัวชี้วัดผลสำเร็จของกระบวนการบ่มเพาะแนวคิดอุดมการณ์การต่อสู้เพื่อเอกราชปัตตานีที่ได้ถูกขับเคลื่อนมาอย่างเป็นระบบที่ต่อเนื่องยาวนาน และเบ่งบานอย่างเข้มแข็งมาจนถึงทุกวันนี้ จนยากที่รัฐจะสอดแทรก ยับยั้ง หรือสกัดกั้นการบ่มเพาะแนวคิดอุดมการณ์ที่กำลังเบ่งบานนี้ได้เลยแม้แต่น้อย








