ภาวะสินค้าเกษตรไทยในช่วงปลายเดือนตุลาคม 2568 สะท้อนความไม่สมดุลของตลาดอย่างชัดเจน โดยเฉพาะในกลุ่มปศุสัตว์ที่ราคา สุกรมีชีวิตหน้าฟาร์ม ปรับตัวสูงขึ้น ในขณะที่ราคา ไข่ไก่ ดิ่งลงต่อเนื่อง ส่วนราคาสินค้าวัตถุดิบสำคัญอย่าง ข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ กากถั่วเหลือง และ ปลาป่น กลับมีแนวโน้มทรงตัว สถานการณ์นี้ชี้ให้เห็น แรงกดดันจากต้นทุนการผลิตที่สูง และความเสี่ยงต่อ ความมั่นคงทางอาหาร ของประเทศ
ราคาสุกรมีชีวิตหน้าฟาร์ม ปรับขึ้น 2 บาทต่อกิโลกรัมในทุกภูมิภาค แต่ยังอยู่เพียง 70-80% ของต้นทุนการผลิตเฉลี่ยที่สูงถึง 80 บาทต่อกิโลกรัม ทำให้เกษตรกรยังเผชิญกับ “ภาวะขาดทุน” ต่อเนื่อง การรณรงค์ของสมาคมผู้เลี้ยงสุกรแห่งชาติ เพื่อจำหน่ายเนื้อสุกรคุณภาพและควบคุมการผลิตลูกสุกรสะท้อนถึงความพยายามในการประคองธุรกิจภายใต้ภาวะยากลำบาก ข้อเรียกร้อง ให้ภาครัฐจัดโครงสร้างราคาสุกรไม่ต่ำกว่าต้นทุนและปรับราคาตามคุณภาพซากเป็นแนวทางสำคัญในการสร้างกลไกตลาดปศุสัตว์ที่ยั่งยืนโดยไม่พึ่งพาเงินอุดหนุน
ขณะเดียวกัน ราคาไข่ไก่ปรับลดลงอย่างมีนัยสำคัญ เครือข่ายสหกรณ์ผู้เลี้ยงไก่ไข่ประกาศ ลดราคาแนะนำไข่คละหน้าฟาร์ม เหลือฟองละ 3.20 บาท นับเป็นการปรับลดครั้งที่สามของปี สาเหตุสำคัญมาจากเศรษฐกิจชะลอตัว การปิดภาคเรียน เทศกาลกินเจ และปัญหาความไม่สงบตามแนวชายแดนไทย–กัมพูชา ส่งผลให้ความต้องการบริโภคไข่ลดลง ราคาที่ตกต่ำยังทำให้ เกษตรกรไม่สามารถปลดแม่ไก่ไข่ตามเกณฑ์อายุ 80 สัปดาห์ ส่งผลให้ แม่ไก่ยืนกรงเกินอายุ ต้องค้างอยู่ในระบบจำนวนมาก ซึ่งอาจก่อให้เกิด “ภาวะไข่ล้นตลาด” หากไม่มีมาตรการรองรับ
เกษตรกรจึงเรียกร้องให้คณะกรรมการนโยบายพัฒนาไก่ไข่และผลิตภัณฑ์ (Egg Board) พิจารณาชะลอการ ขยายโควตานำเข้าพ่อ–แม่พันธุ์ไก่ไข่ (Parent Stock) ในปี 2569 เนื่องจากการเพิ่มโควตาขณะราคาตกต่ำจะซ้ำเติมปัญหาราคาตกในอนาคต การบริหารสมดุลอุปสงค์และอุปทานของไข่ไก่ซึ่งเป็น “โปรตีนพื้นฐาน” ที่คนไทยพึ่งพาจึงเป็นสิ่งจำเป็น
สำหรับกลุ่มวัตถุดิบอาหารสัตว์ ข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ กากถั่วเหลือง และปลาป่นในประเทศ ยังทรงตัว แต่ตลาดโลกมีความเคลื่อนไหว โดยเฉพาะสัญญาถั่วเหลืองในตลาดล่วงหน้าที่พุ่งสูงสุดในรอบ 15 เดือน หลังจีนตกลงซื้อถั่วเหลืองจากสหรัฐฯ ปริมาณมาก แม้ว่าราคาปัจจุบันในประเทศยังทรงตัว แรงกดดันจากต้นทุนอาหารสัตว์ที่สูงยังคงเป็นปัจจัยสำคัญที่กดดันเกษตรกรผู้เลี้ยงสุกรและไก่ไข่ การบริหารจัดการและควบคุมต้นทุนจึงเป็นกุญแจสำคัญในการสร้าง “เสถียรภาพราคา” สินค้าปศุสัตว์อย่างยั่งยืน
ภาคเกษตรไทยจึงต้องปรับตัวสู่ การตลาดนำการผลิต เน้นพัฒนาคุณภาพผลผลิตให้ได้มาตรฐานและใช้กลไกราคาสะท้อนคุณภาพ (Price Based on Quality) ควบคู่กับการบริหารจัดการอุปทาน เช่น การควบคุมการนำเข้าพ่อแม่พันธุ์ไก่ไข่และการสนับสนุนองค์ความรู้ด้านเทคโนโลยีการเลี้ยง การแก้ปัญหาเชิงระบบและยั่งยืน จะช่วยให้เกษตรกรหลุดพ้นจากวงจร “ขาดทุน” และผลักดัน “ภาคเกษตรไทย” ให้เข้มแข็งและแข่งขันได้ในเวทีโลก








