ปากกาขนนก / สกุล บุณยทัต
ณ เวลานี้ คือห้วงขณะแห่งความวิบัติทางด้านศรัทธาของประเทศชาติ มันรกเรื้อไปด้วยความเลวร้ายนานา ในทุกระดับชั้นของสังคม เป็นความพินาศแหลกสลายของความดีงาม ที่อุบัติขึ้นโดยกลุ่มคนบางกลุ่มที่แฝงร่างอัปลักษณ์อยู่ภายใต้หน้ากากของความโฉดชั่วนานา!
หากจะมีการเปรียบเปรย รูปร่างและอาการของ "แผ่นดินถิ่นเกิดของเรา" ในฐานะแห่งความเป็นเกียรติภูมิ มันก็ไม่ต่างไปจากกายร่างอันอวบอ้วนชวนอึดอัดของ "คนบาปที่สำลักในอาจมที่สวาปามเข้าไปอย่างตะกละตะกลามจนต้องสำรอกออกมา" เป็นทีท่าของความชั่วร้ายที่เบิกประจานให้ “เหล่าคนชั่วช้าเหล่านั้น” ได้มีโอกาสสำนึกรู้ถึงมวลขยะที่น่า ขยะแขยง ในกมลสันดานแห่งตัวตนของตนบ้าง!
นั่นคือ ภาพสะท้อนแห่งรากเหง้าของการสาปแช่งต่อ วิกฤต อันเยินยับและแสนจะน่าละอายต่อบาป กระทั่งเป็นเหตุให้ชีวิตของผู้คนส่วนใหญ่ต้องกลายสภาพเป็นเหมือน “สินค้าในกล่องชำรุด” อันไร้ค่า เฉกเช่นนั้น!
สาระอันเข้มข้นแห่งความรู้สึกเบื้องต้น คือพลังความหมายอันบาดลึกต่อการรับรู้ ที่เป็นเนื้อในของ รวมกวีนิพนธ์ "ประเทศอ้วน" (Fat Country) ประพันธกรรมอันชวนสั่นสะเทือนนัยสำนึกของกวีเชิงเสียดสี “นักเหยียดหยาม” (Satirist) ที่แม่นตรงและกระทบใจ “อรรณพ วันศรี”
ผลงานโดยรวมของเขาทั้งหมดในเล่มนี้ คือผลลัพธ์แห่งการตระหนักรู้ ตระหนักเห็นภาวการณ์โดยรวมของประเทศที่เต็มไปด้วยความอดสู ทั้งจากการกระทำของผู้มีหน้าที่ดูแลประเทศชาติ ความจอมปลอมตบตาของอาการแห่งคนหน้าไหว้หลังหลอกอัน คราคร่ำ ตลอดจนวิถีชีวิตอันทบซ้อนระหว่างความจริงลวงและความจริงแท้อันแยกไม่ออก
เหล่านี้คือความหมายที่กวีนิพนธ์ในแต่ละบทได้แสดงออกมา ผ่านน้ำคำและภาษาของผู้เป็นกวีอย่างถอดร่างและหมดเปลือก!
มันคือความเปรียบดั่ง "สวนสัตว์มนุษย์คอนเทนต์" และ "ของเล่นคนรวยที่ถูกทิ้งขว้างในสวนสนุก" การเพ่งมองสถานการณ์ชีวิตด้วยการตีความอย่างหยั่งเห็น ทำให้รสชาติของกวีนิพนธ์ของ "อรรณพ" เปี่ยมเต็มไปด้วยกากเดนของ "ความเป็นจริงในความรู้สึกจริง" ที่ชวนคลื่นเหียนและน่าเวทนา!
"ชีวิตเป็นเพียงวัตถุสินค้าในกล่องชำรุด/ไม่มีใครเคยเห็นน้ำตาคุณบนกล่องพัสดุกันกระแทก/ ..พวกเขาหัวเราะในความทุกข์ยาก/แลกความหิวของคุณในวัฒนธรรมโซเชียล/เพิ่มยอดฟอลไอจีในโรงฆ่าสัตว์/"
สังคมแท้จริงของเรา เพียงมีผัสสะกันอย่างผิวเผิน แต่กลับมีความเดือดดาลที่จะเข่นฆ่าในทางจิตวิญญาณต่อกันและกันอย่างไร้กรุณา มันเป็นพื้นที่อุบาทว์ที่ลากไส้ความโฉดชั่วภายในใจของคนแห่งยุคสมัยออกมาให้ได้เห็น!
"คุณเป็นคนเร่ร่อนในโลกออนไลน์/เป็นพลเมืองชั้นสองในเฟซบุ๊ก/เป็นบุคคลสาบสูญในอินสตาแกรม/ ..เหมือนพยาบาลถ่ายรูปเด็กออทิสติกให้เป็นดาวติ๊กต็อก/คล้ายครูเพิ่มยอดเรียลไลฟ์เด็กหลังห้อง/กลายเป็นผู้บกพร่องทางสติปัญญาเรียนรู้../ ..พวกเขามองคุณเป็นสัตว์ประหลาด/แลกด้วยราคาธนบัตรให้ขอทาน/ซื้อตัวมาดูละครสัตว์/บนเวทีเลียนแบบมนุษย์ผู้ดีแบบพวกเขา../"
ปรากฏการณ์ทางทัศนคติ ปรากฏออกมาอย่างมากมายผ่าน "รูปความคิดของกวี" มันคือการสะท้อนภาพในภาพสะท้อน จากส่วนลึกภายในจิตใจ สู่ฉากแสดงของการมีชีวิตอยู่อันจอมปลอมในสังคม
ขณะที่การก้าวไปข้างหน้าเหมือนติดหล่มอยู่กับปลักตมแห่งอคติ สำนึกของผู้คนก็เดือดพล่านและแตกแขนงออกเป็นภาวะสำนึกอันล้นทะลักนานา ความร้อนร้ายที่ขัดแย้งก่อสำนึกอันมอมเมาขึ้น ณ บริบทที่ตรงนี้
"น้ำลายคุณมากกว่าการโกหกของแจ็ก เดอะริปเปอร์/ถ้อยคำความป่วยไข้ เหมือนคนบนเตียงโรงพยาบาลชั้นสิบสี่/ความรักในวิดีโอคอลจากเมืองชเวโกะโก/ ..คำสำคัญจากปอยเปต/กลายเป็นดิจิทัลฟุตพริ้นท์/จากดาวเทียมสตาร์ลิงก์/ ..การตกปากรับคำ/เหมือนคุณหลอกเด็กคนหนึ่ง/ให้ดูดบุหรี่ไฟฟ้าโดราเอมอน/ ..เพียงคุณมอมเมาพวกเรากับดินแดนชุดเสื้อปีกผีเสื้อ.."
การโบยตีภาพเหมือนของสังคมที่เต้นเร่าอยู่บน "การรับรู้ในความรู้สึกที่ขัดแย้ง" คือส่วนขยายของบาดแผลที่กลัดหนองแห่งการอยู่ร่วมกันในสังคมซึ่งเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ กลายกลับเป็นพลังแรงแห่งการใคร่ครวญและแสดงออก ที่ทั้งกดดันและโบยตีจิตวิญญาณของสังคมและตัวตนด้วย "ภาพลวงของความดี"!
"..ไปรัฐสภาฉันเจอแต่คนดี/ไปสถานีตำรวจฉันเจอแต่คนดี/ไปนรกฉันเจอแต่คนดี/ บนท้องถนนเต็มไปด้วยคนดี/พวกเขาสัมปทานไว้กับบทสวด/ทุจริตไว้กับนักบวช/ ไปสงครามฉันเจอแต่คนดี/พวกเขาฆ่ากันว่าความดีตัวเองดีกว่า/ประณามสันติภาพ..แลกตัวประกันอีกฝ่าย..ด้วยความดี/ ..ฉันอ่านหนังสือพิมพ์ที่เต็มไปด้วยความดี/ดูละครคุณธรรมที่เต็มไปด้วยสิ่งที่ดี/นักอาชญากรรมเต็มไปด้วยคนดี/คุกเต็มไปด้วยผู้ต้องหาประพฤติดี/ผู้พิพากษามีแต่คนดี/ในงานศพเขาอ่านประวัติคนตาย..ประกอบด้วยคุณงามความดี/ในนรกพวกเขาควานหาอดีตตัวเอง/ยืนยันว่าเป็นคนดี..!"
การจมปลักและติดยึดอยู่กับ จารีต คือภาวะหนึ่งที่ชวนวิพากษ์ มันเป็นดั่งหน้ากากที่ปิดบังความจริงอันสมควรตระหนักรู้ ที่ถูกอำพรางเร้นซ้อน ณ ขณะที่โลกก้าวหมุนไปข้างหน้าอย่างมีความหยั่งรู้ถึงความจริงอันแท้จริง แต่ภาวะอันเคลือบแคลงสงสัยก็กลับห่มคลุมสังคมและกัดกินนัยแห่งศรัทธาจนมืดดำไปเสียสิ้น
"จารีตและความเชื่อเป็นบิดาและมารดาของศาสนา/เด็กหญิงนอกรีตคัมภีร์/ร่วมอุทรกับพระเจ้า/มิใช่สายเลือดเดียวกัน/ ..ทุกคนมีบ้านอยู่สามหลัง/หลังแรกตอนทำบ้านเล่นขายของ/หลังที่สองตอนคิดถึงและอยากกลับไป/หลังที่สามอยากไปตายที่นั่น/ ..ในระยะทางไกลห่าง/ชีวิตสั้นเสมอที่มีเวลากลับบ้าน/"
สิ่งที่กระอักกระอ่วนชวนวิพากษ์ที่สุด ที่ถูกเบิกประจานและขึงพืดในรวมบทกวีชุดนี้อย่างเจ็บลึก ก็คือโครงสร้างทางการศึกษาของแผ่นดิน ที่ตกอยู่ในเงื้อมเงาของอำนาจที่ เปิ่นเชย และไร้อนาคตทั้งโลกทัศน์และชีวทัศน์ เป็น ชนวนเหตุ อันสำคัญที่ "สังคมสมัยใหม่แห่งโลกของชีวิต" ต้องจมอยู่กับความดักดานด้านการสนองรับทางปัญญาอย่าง "โงหัวไม่ขึ้น"!
"จงสอนเขาแทนผม/ถึงความรู้สึกขณะเสี่ยงทายคางไก่/ขณะเด็กอาจถูกบูชายัญ/กับกองหนังสือขณะท่องจำเอกภพสัมพันธ์/และพหุไร้นามนิรันดร์ไร้ชื่อของพวกเขา/ในชั่วโมงคณิตศาสตร์/ ..จงบอกเขาแทนผม../ถึงหมู่บ้านที่เขาเดินทางมาโรงเรียนทุกวัน/แทนพิกัดภูมิศาสตร์ของโคลัมบัสและการล่าอาณานิคม/ ขณะถูกเหยียดในโรงเรียนไม่ต่างจากทาสผิวดำ/..และลิงผิวเหลืองในอีกทวีปของลูกโลกกำพร้า.."/ .... "จงคิดถึงเขาแทนผม/ถึงผลการเรียนและความโดดเดี่ยว..กว่าครึ่งค่อนชีวิต/ที่ต้องนิยามความสำเร็จ/ขณะเขาอาจสมมติตัวเองเป็นไททัน/และ..ไม่เคยระบายสีของตัวเอง/ในสมุดวิชาชีววิทยาเคมีที่เป็นพื้นฐานของสิ่งมีชีวิต"
เชื่อกันว่า ในสังคมที่ปลิ้นปล้อนมักจะใช้วัฒนธรรมกลายเป็นสินค้าสะกดจิต เป็นเครื่องมือกำหนด "ความดีงามอุปโลกน์" วัฏจักรของมนุษย์ที่ไม่เท่าเทียมจึงเป็นได้ดั่งขยะฉีกขาดในห้องทดลองแห่ง "ปัญญาญาณอันโสโครกและสกปรก" เพียงเท่านั้น
"..ชุดผ้าไหมถูกจัดเป็นสินค้าของชนชั้นสูง/นั่งดูคนทอผ้าราวคณะละครสัตว์/ถนนวัฒนธรรมด้วยฉากย้อนยุค/จับพวกเขามาแห่แหนเพื่อสร้างซอฟต์พาวเวอร์/ ..ดีไซเนอร์..กักขังความล้าหลังราวสับผ้ามือสองในตลาดนัด/ตอกย้ำความทุรกันดารซ้ำซากชั่วชีวิต/ ..เด็กหญิงเสื้อผ้ามอมแมม/กังวลถึงชุดพื้นเมืองที่ไม่มีใส่พรุ่งนี้/เธอนอนก่ายหน้าผาก/ฝันเป็นดีไซเนอร์/ ..ในดินแดนที่ราบสูงที่ถูกผู้อื่นต้อนมา..รับ"คณะท่าน"..ผู้มาดูงานซอฟต์พาวเวอร์/..ไม้แขวนเสื้อไม่มีเสื้อใส่..มาหลายวัน"/
ในที่สุด เราก็สามารถสัมผัสได้ถึงความอัปลักษณ์แห่งสังคมที่มีชีวิตอยู่ ด้วยแง่มุมหลายๆส่วนของความเป็นกวีนิพนธ์ที่โยงใยถึงความวิบัติอันเหลือเชื่อ นับแต่บทเริ่มต้นของวารวัย ทุกสิ่งเหมือนจะสวนทางกับความปรารถนาที่ "ความเป็นมนุษย์ส่วนใหญ่" ได้วาดหวังไว้ มันแค่มีลักษณะเป็นได้เพียง "วัตถุเรืองแสงกำมะลอ" ซึ่งเมื่อยิ่งเข้าใกล้ก็ยิ่งจะมืดดับ เป็นสัดส่วนของความลวงหลอกที่ทำให้ชีวิตที่เป็นชีวิตต้องหมดพลังและหลงทาง!
"ตอนเด็กฉันร้องไห้ให้ดังที่สุด/อยากได้ของเล่น/เรียกร้องความสนใจ/ ..ตอนโตฉันร้องไห้เงียบที่สุด/ปล่อยสิ่งที่รักออกไป/ไม่อยากให้ใครเห็น"
ภาพเปรียบเทียบถือเป็นเนื้อในที่ "อรรณพ" ใช้เปรียบเทียบเป็นเชิงชั้นในเหล่ากวีนิพนธ์ของเขา จากความรุนแรงและกดดันสุดโต่ง มาสู่ความอ่อนโยนที่เปิดเปลือยถึงความซับซ้อนวกวนแห่ง "มายาคติ"!
"..คนดีใส่ชุดนุ่งขาวห่มขาว/ตบหน้าคนยุติธรรมใส่ชุดครุย/จนเลือดกลบปาก/ ..คนชั่วช้าสารเลว/ใส่ชุดโกโรโกโสอย่างข้า/ได้แต่ทำตาปริบๆ"
ผมอ่าน "ประเทศอ้วน" จบลงด้วยแรงเหวี่ยงทางความรู้สึก ทุกสิ่งถูกนำมาประกอบสร้างคือกลลวงทางความคิดหรือไม่? นั่นคือสิ่งจำเป็นที่ต้องศึกษาและอ่านใจกันอย่างจริงจังและล้ำลึก
และครั้นเมื่อได้ค้นพบความหมายอันกราดกระทบต่อจิตสำนึกในแต่ละบทตอน จึงพอจะบรรลุได้ว่า "เจตจำนงของกวี" นั้น คือคุณค่าแห่งการตีความเพื่อจะมีชีวิตอยู่อย่างภาคภูมิและ "เต็มสติ" มาตั้งแต่ต้น!
เสียงเพรียกแห่งอารมณ์อันขมขื่น บาดแผลกลัดหนองแห่งสัญชาตญาณอัน พุพอง กระทั่ง "คราบน้ำตาตกใน" ที่กระเสือกกระสนถึงชัยชนะอันย้อนแย้ง ทั้งหมดอาจจะเขียนออกมาจากภาพวาดของการยอมจำนน กระทั่งล่วงสู่รอยจารึกของ "ประวัติศาสตร์แห่งประพันธกรรม" ในนามของกวีนิพนธ์ที่เป็นคราบร่างแห่ง "รอยจารึกอัปลักษณ์" ของความ "อืดพองและอวบอ้วน" เหนือสันดานแห่งกมลสันดานอันจอมปลอมและชั่วช้าใดๆ!
"..ฉันเกลียดวันเด็ก ที่พวกผู้ใหญ่ปลอมตัวเป็นเด็กๆ/ด้วยชุดนักเรียนแฟชั่น Y2K/บนเวทีการแสดง/รักเด็กๆ แค่วันเดียว/ ... ฉันเกลียดวัยเด็ก/เต็มไปด้วยคุณธรรมต่อต้านทุจริต/ในคราบเรียนสวดมนต์อันน่าเบื่อหน่าย/ ขณะพวกเขารับเงินใต้โต๊ะ/ปิดป้ายไวนิลหน้าห้องทำงาน/"หยุดการคอร์รัปชัน"?!?"
#ประเทศอ้วน #อรรณพวันศรี #กวีนิพนธ์ #สกุลบุณยทัต #บทวิจารณ์วรรณกรรม #FatCountry #การเมือง #สังคมไทย #เสียดสี








