เมื่อเวลา 13.00 น. วันที่ 31 ต.ค.2568 ที่พรรคเพื่อไทย นายจุลพันธ์ อมรวิวัฒน์ หัวหน้าพรรคเพื่อไทย ให้สัมภาษณ์สื่อมวลชนถึงความมั่นใจและยุทธศาสตร์ในการเลือกตั้งว่า มั่นใจว่าจะสามารถบรรลุเป้าหมายที่ตั้งไว้ เนื่องจากจากการสัมผัสกับประชาชนในช่วงที่ผ่านมา ทำให้รู้สึกได้ว่าประชาชนที่ให้การต้อนรับพรรคเพื่อไทยยังมีจำนวนมาก พรรคเพื่อไทยจึงต้องพิจารณาและมองกลับมาที่ตัวเองเพื่อทำการปรับเปลี่ยนภายใน ซึ่งใช้คำว่า ยกเครื่อง การยกเครื่องนี้ครอบคลุมตั้งแต่เรื่องผู้สมัคร กลไกในการสื่อสารกับประชาชน และแนวทางนโยบาย ซึ่งปัจจุบันกำลังเดินหน้าไปเป็นจำนวนมากแล้ว เชื่อมั่นว่าด้วยกลไกทั้งหมดที่ดำเนินการอยู่ พรรคจะสามารถสร้างความไว้วางใจให้กับประชาชนได้อีกครั้ง และจะสามารถผ่านการเลือกตั้งกลับมาเป็นรัฐบาลเพื่อทำนโยบายที่ดีต่อไป
เมื่อถามว่า นโยบายบางอย่างไม่สามารถทำได้สำเร็จ นายจุลพันธ์ กล่าวว่า ไม่ควรมองในลักษณะนั้น แต่ควรจะมองถึงการเลือกตั้งครั้งหน้าที่กำลังจะมาถึง ในประเด็นของแนวทางนโยบาย โดยเฉพาะอย่างยิ่งเรื่อง "เงินหมื่น" แม้ว่านโยบายนี้จะทำไม่เสร็จสมบูรณ์ แต่เป็นเพราะระยะเวลาการเป็นรัฐบาลมีเพียง 2 ปี จาก 4 ปี ทำให้ไม่สามารถอยู่ครบวาระได้ ระหว่างทางก็มีอุปสรรคขวากหนามมากมายที่ต้องพยายามฝ่าฟัน อย่างไรก็ตาม พรรคได้ดำเนินนโยบายนี้ไปแล้วครึ่งหนึ่ง โดยมีประชาชนกลุ่มเปราะบาง กลุ่มผู้สูงอายุ และกลุ่มผู้มีรายได้ต่ำ ซึ่งเป็นกลุ่มที่อ่อนแอที่สุด ได้รับเงินหมื่นไปแล้วกว่า 20 ล้านคน
นายจุลพันธ์ กล่าวว่า สำหรับอีกครึ่งทางที่เหลือ รัฐบาลชุดถัดมาไม่ได้สานต่อ ไม่ว่านโยบายใดจะเป็นประโยชน์กับประชาชนก็ควรช่วยกันทำ ในส่วนของพรรคเพื่อไทยยังคงมีภาระติดค้างประชาชนอยู่ และจะต้องหานโยบายมาชดเชยและทำประโยชน์ให้แก่กลุ่มที่ยังไม่ได้รับการช่วยเหลือดูแลในการเลือกตั้งครั้งถัดไป
เมื่อถามว่า ประเมินคู่แข่งและพันธมิตรทางการเมือง หัวหน้าพรรคเพี่อไทยคนใหม่ กล่าวว่า ในข้อเท็จจริงทางการเมือง เมื่อมีการประกาศเลือกตั้ง ทุกพรรคต่างก็ต้องต่อสู้กันหมด พรรคเพื่อไทยเป็นพรรคที่มีขนาดใหญ่ จึงส่งผู้สมัคร สส. เต็มพื้นที่ทั่วประเทศ และคาดหวังว่าจะได้รับการยอมรับจากประชาชนในทุกพื้นที่ ดังนั้นในเรื่องของการเลือกตั้ง ทุกพรรคคือคู่แข่ง แต่ในส่วนของพรรคที่เป็นพันธมิตรทางแนวความคิดนั้นสามารถหาหรือกันได้ โดยสามารถพิจารณาได้จากการทำงานในอดีตที่ผ่านมาว่า พรรคใดที่มีแนวความคิดและความใกล้ชิดกัน
นายจุลพันธ์ กล่าวว่า นอกจากนี้การเมืองจะชัดเจนขึ้นในอนาคต ทั้งจากเรื่องการเซ็น MOA และกลไกการตรวจสอบในสภา เช่น การอภิปรายไม่ไว้วางใจ พรรคเพื่อไทยยืนยันชัดเจนว่ายังคงปฏิบัติหน้าที่เป็นฝ่ายค้านอย่างเข้มแข็ง โดย มีสส. อยู่กว่า 100 คน และจะตรวจสอบรัฐบาลอย่างเต็มที่โดยไม่ลดละในกรณีที่มีการกระทำที่ไม่ถูกต้องหรือไม่เหมาะสม ทั้งเรื่องการทุจริตคอร์รัปชันและการปัดเป่าคดีต่างๆ
เมื่อถามว่า สถานการณ์ภายในพรรคเลือดไหลออกหมดแล้วหรือยัง นายจุลพันธ์ กล่าวว่า คำเลือดไหลในพรรคเพื่อไทยเป็นศัพท์ของทางสื่อ ในความเป็นจริง ความยากลำบากของคณะกรรมการบริหารพรรค คือการที่มีผู้สมัครจำนวนมากเข้ามาคัดเลือกในเขตเดียว จนต้องคัดให้เหลือเพียงคนเดียว คนที่ต้องการจะไปก็ได้ไปแล้ว ส่วนคนที่ยังอยู่ก็มีความเข้มแข็ง และยึดมั่นในอุดมการณ์ การเข้าออกในช่วงใกล้การเลือกตั้ง ถือเป็นเรื่องปกติทางการเมือง และพรรคอื่นก็มีการเข้าออกรายวันเช่นกัน
นายจุลพันธ์ กล่าวว่า พรรคเพื่อไทยได้มีการเปิดตัวผู้สมัครกว่า 200 ท่าน ใน 2 รอบ และจะทยอยเปิดตัวไปเรื่อยๆ จนครบ 400 เขต ซึ่งแสดงให้เห็นว่าผู้ที่มีความรัก ความศรัทธา และความเชื่อมั่นในพรรคเพื่อไทยยังคงหลั่งไหลเข้ามาทุกวัน ไม่ได้มองว่าสถานการณ์นี้เป็นเรื่องน่าเป็นห่วงหรือผิดปกติแต่อย่างใด และมีความเชื่อมั่นว่าจำนวนผู้ที่เชื่อว่าพรรคเพื่อไทยยังคงแข็งแกร่งและมีอุดมการณ์ตรงกันที่เข้ามาสมัครมีมากกว่าผู้ที่ออกไป
เมื่อถามถึง บทบาทของตระกูลชินวัตรยังเป็นกำลังสำคัญให้กับพรรคเพื่อไทยชุดใหม่หรือไม่ นายจุลพันธ์ กล่าวว่า ความผูกพันกับตระกูลชินวัตรเป็นสิ่งที่ปฏิเสธไม่ได้ และมีความผูกพันทางใจอยู่แล้ว เนื่องจากแนวคิดริเริ่มและอุดมการณ์เริ่มมาจากท่านทักษิณ ชินวัตร ถึงแม้ว่าน.ส.แพทองธาร ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี จะลาออกจากตำแหน่งหัวหน้าพรรคไปแล้ว และมีการสรรหาคณะกรรมการบริหารชุดใหม่ที่ไม่มีคนในครอบครัวชินวัตรเลย ซึ่งถือเป็นการถ่ายเลือดเพื่อทำให้พรรคเพื่อไทยเป็นสถาบันทางการเมืองที่เข้มแข็ง อย่างไรก็ตามน.ส.แพทองธาร ยังคงดำรงตำแหน่ง หัวหน้าครอบครัวเพื่อไทยต่อไป ซึ่งเป็นตำแหน่งที่ไม่สามารถลาออกได้ เนื่องจากเคยสมัครไว้ก่อนหน้านานแล้ว
“สถานะหัวหน้าครอบครัวเพื่อไทยนี้เป็นการขับเคลื่อนในเรื่องของสมาชิกและสิ่งต่างๆ ที่ไม่ขัดต่อกฎหมาย และยังคงเป็นความผูกพันทางความรู้สึกและทางใจ ส่วนการขับเคลื่อนพรรคในวันนี้ได้ถ่ายโอนมายังคณะกรรมการบริหารชุดใหม่ ซึ่งจะมีอำนาจในการบริหารจัดการทิศทางของพรรคตามมติของคณะกรรมการและเสียงของสมาชิก ส.ส. อย่างสมบูรณ์ทุกประการ”นายจุลพันธ์ กล่าว
เมื่อถามว่า ตำแหน่งหัวหน้าพรรคยังเป็นแคนดิเดตนายกฯ ด้วยเหรือไม่ นายจุลพันธ์ กล่าวว่า การที่หัวหน้าพรรคจะต้องเป็นแคนดิเดตนายกฯ นั้นไม่ได้เป็นข้อจำกัดทางกฎหมาย ขณะนี้พรรคกำลังพิจารณาเรื่องแคนดิเดตนายกฯอยู่ และยังไม่ได้ตัดสินใจ
“ผมก็ยังไม่ได้เริ่มคิดในเรื่องนี้ แต่ยืนยันว่าพรรคจะต้องคัดสรรแคนดิเดตนายกฯ ที่ถูกใจ และตอบโจทย์ประชาชนให้ได้ และเชื่อว่าพรรคคงจะต้องส่งแคนดิเดต 3 ท่าน โดยจะมีการประกาศเปิดตัวออกมาในอีกไม่กี่เดือนข้างหน้า ซึ่งเชื่อว่าจะถูกใจประชาชนและตอบโจทย์ความเดือดร้อนในปัจจุบันได้”
นายจุลพันธ์ กล่าวและว่า ในส่วนของบทบาทตัวเองในฐานะหัวหน้าพรรค คือการทำให้พรรคชนะการเลือกตั้ง โดยตั้งใจให้พรรคเพื่อไทยเป็นพรรคของคนไทยทุกคน ไม่ใช่พรรคของคนรุ่นใดรุ่นหนึ่งเท่านั้น สิ่งแรกคือการเชื่อมประสานระหว่างคนสองรุ่นวัย ตั้งแต่ Gen Baby Boomers จนถึง Gen เด็กที่สุด ทุกคนจะมีโอกาสแสดงความคิดเห็นและผลักดันนโยบายเพื่อตอบโจทย์ประชาชนในทุกกลุ่ม ทุกเพศ ทุกวัย คณะกรรมการบริหารชุดใหม่วางแผนที่จะเร่งดำเนินการเพื่อมุ่งสู่การเลือกตั้งและประสบชัยชนะ
เมื่อถามถึง การยื่นอภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐบาล หัวหน้าพรรคเพื่อไทย กล่าวว่า การยื่นญัตติอภิปรายไม่ไว้วางใจเมื่อสภาเปิด ต้องมีการหารือกันถึงช่วงเวลาที่เหมาะสม พรรคเพื่อไทยดำเนินการตรวจสอบรัฐบาลจากข้อมูล ไม่ใช่อารมณ์ สิ่งสำคัญคือต้องมีข้อมูลในมือเพียงพอ เพราะหากอภิปรายแล้วเป็นการฉายหนังเก่าจะเกิดความเสียหายต่อพรรค ขณะนี้พรรคกำลังรวบรวมข้อมูลเกี่ยวกับการทุจริตคอร์รัปชัน การปัดเป่าคดี การกระทำที่ไม่ถูกต้อง และเรื่องจริยธรรมของบุคคลต่างๆ การตัดสินใจขั้นสุดท้ายจะเกิดขึ้นหลังจากกระบวนการรวบรวมข้อมูลเสร็จสิ้นแล้ว
เมื่อถามว่า จะมีข้อความอะไรที่จะฝากถึงสมาชิกพรรคให้โดนใจลุกขึ้นมาต่อสู้ หัวหน้าพรรคเพื่อไทย กล่าวว่า พรรคเพื่อไทยเป็นพรรคที่แบกรับความหวัง และความศรัทธาของประชาชนมาอย่างยาวนาน มีพี่น้องประชาชนที่เชื่อมั่นพร้อมสนับสนุนไม่ต่ำกว่า 10 ล้านคน จึงขอให้สมาชิกมีความเชื่อมั่นว่าพรรคจะทำนโยบายที่ตอบโจทย์ ปรับเปลี่ยนการสื่อสาร คัดสรรผู้สมัครที่เข้มแข็ง และทำให้พรรคเป็นสถาบันการเมืองที่ตอบโจทย์ประชาชน ผู้พูดเชื่อว่าประชาชนจะตอบรับพรรคในการเลือกตั้งที่กำลังจะมาถึง








