วันที่ 31 ต.ค.เวลา 09.30 น.ที่รัฐสภา นายเอกราช อุดมอำนวย สส.กทม. พรรคประชาชนในฐานะประธานคณะกรรมาธิการ(กมธ.)การทหาร สภาผู้แทนราษฎร กล่าวว่า วาระการประชุมกมธ.ฯวันนี้(31 ต.ค.)เกี่ยวเนื่องจากที่สภาผู้แทนราษฎรพิจารณา รับหลักการร่างกฎหมายเกี่ยวกับคลื่นความถี่ฯ ที่มีปัญหาทับซ้อนกัน ระหว่างสาธารณะกับบริการภาคประชาชน เนื่องจากภาคเอกชนร้องเรียนว่าการจัดสรรคลื่นความถี่อาจเกิดความไม่เป็นธรรม ทับซ้อน เพราะประเภทสาธารณะที่กองทัพถือครองอยู่มีการนำไปหารายได้ แข่งขันกับผู้ประกอบการ ทำให้วิทยุชุมชนรายเล็กได้รับความเดือดร้อน ทางกมธ.ฯจึงต้องตรวจสอบว่าคลื่นความถี่ที่ทหารถืออยู่มีการหารายได้เข้ามาอย่างไร มีการยื่นการประกอบกิจการกับ กสทช. ซึ่งเป็นผู้จัดสรรคลื่นความถี่ให้ มีการจัดสรรและแสดงรายได้อย่างถูกต้องตามกฏหมาย กสทช. หรือไม่
นายเอกราช ยังกล่าวว่าการประชุมกมธ.เมื่อวันที่ 30 ต.ค.ที่ผ่านมา ได้รับข้อมูลจากนายกัน จอมพลัง เพียงบางส่วนที่เกี่ยวข้องกับการซื้อยุทธภัณฑ์ ที่มีการใช้คำว่าขอความอนุเคราะห์โดยตรงและไปซื้อกับบริษัทแห่งหนึ่ง แต่ไม่ได้เห็นรายละเอียด คาดว่าจะเป็นหน่วยทหารแนวหน้าที่ส่งคำขอยุทธพันธ์ผ่านมูลนิธิกันจอมพลัง ซึ่งเป็นผู้จ่ายเงิน ดังนั้นสิ่งที่ต้องดำเนินการหลังจากนี้คือการขอเอกสาร ที่หน่วยงานส่งคำขอต่อมูลนิธิไปทั้งหมดว่ามีรายการอะไรบ้าง กมธ.ฯยังขอเอกสารกับ พล.ท.วินธัย สุวารี โฆษกกองทัพบก ซึ่งส่วนใหญ่ไม่สามารถให้คำตอบกับคำถามของกมธ.ฯได้ และตอบรับว่าจะรวบรวมเอกสารส่งมาให้กมธ.ฯ ซึ่งแสดงว่าทหารแนวหน้าขาดแคลนในสิ่งที่กองทัพปฏิเสธข้อเท็จจริงในเรื่องนี้มาตลอด
“ยืนยันว่าการตรวจสอบของกมธ.ฯไม่ได้เป็นการมุ่งหมายตรวจสอบเพื่อเพ่งโทษใคร แต่เพื่อวางระบบของกองทัพ วางมาตรการแนวทางในการรับบริจาคที่ถูกต้อง พร้อมกับประกาศให้สาธารณะชนทราบว่าสิ่งใดที่กองทัพรับบริจาคได้หรือไม่ได้ ไม่ใช่ปล่อยให้บริจาคทุกอย่าง และเมื่อถึงเวลาก็ดำเนินการอย่างไม่เป็นระเบียบ จึงต้องดำเนินการวางระบบให้ถูกต้อง” นายเอกราช กล่าว
นายเอกราช กล่าวต่อว่า ขณะเดียวกันในเรื่องนี้อาจนำไปสู่การปรับปรุงแก้ไขพระราชบัญญัติ(พ.ร.บ.)ยุทธภัณฑ์ การจัดซื้อจัดจ้าง ซึ่งด้านหนึ่งอาจมีปัญหาเรื่องอุปสรรคต่อการจัดซื้อจัดจ้าง ที่ต้องหาทางแก้ไขปรับปรุงต่อไป หลังจากนี้กมธ.ฯ อาจไม่ต้องเชิญ กัน จอมพลัง มาแล้ว แต่กมธ.ฯจะส่งหนังสือเพื่อขอความอนุเคราะห์เอกสาร จึงขอความร่วมมือ ซึ่งในส่วนกองทัพทางโฆษกกองทัพบกรับปากว่าจะรวบรวมเอกสารมาให้ คงต้องดูว่าเอกสารดังกล่าวนั้นจะครบถ้วนหรือไม่ เพราะกมธ.ฯก็มีข้อมูลจากแนวหน้าในเรื่องการขาดแคลนและความต้องการในพื้นที่ ขอเน้นย้ำว่าทางกองทัพจะต้องไม่ปกปิดข้อเท็จจริง หรือให้เพียงแค่ดูดี “ไม่ใช่การปกปิดข้อเท็จจริง หรือพูดไปเพียงแค่ให้ดูดี แต่ต้องยอมรับอย่างตรงไปตรงมา และช่วยกันหาทางออกก็จะเป็นสิ่งที่ที่ดีที่สุด วันนี้เรามาเสริมติดเขี้ยวเล็บแนวหน้าให้กับกองทัพ แนวหน้าตรงไหนร้องขอ กมธ.ฯก็พยายามไล่บี้ เช่นตำรวจตระเวนชายแดนพบว่าขาดเยอะ สอบถามหน่วยงานรัฐได้รับคำชี้แจงอย่างเป็นที่พอใจแล้ว เช่นเดียวกันเชื่อว่าหากนายพลที่อยู่แนวหลังใส่ใจกับทหารชั้นผู้น้อย ลงไปดูหน้างาน ดูรายละเอียดนิดหนึ่ง รวมถึงรัฐบาลและรมว.กลาโหม ลงไปดูหน้างาน ทำความเข้าใจก็จะทราบว่าต้องแก้ไขอย่างไร” นายเอกราชกล่าว
นายเอกราช กล่าวด้วยว่า หากกองทัพส่งเอกสารไม่ครบถ้วน กมธ.ฯจะรวบรวมข้อมูลเอง เพื่อปรับปรุงในเชิงนโยบาย เพื่อเสนอแนะการปฏิรูปกระบวนการจัดงบประมาณของกองทัพ ว่าเรื่องนี้จะไม่ทำให้หน่วยงานทหารแนวหน้าได้รับความเดือดร้อน แต่เป็นการติดเขี้ยวเล็บให้กับแนวหน้า โดยเฉพาะการจัดยุทธภัณฑ์ให้กับแนวหน้าที่ไม่ตรงกับความต้องการนั้น อาจมองว่าผู้บัญชาการระดับบนจะมีปัญหาในการสั่งการดำเนินการ
ประธานกมธ.ทหาร กล่าวต่อว่า ยังเชื่อว่าประชาชนทั้งประเทศพร้อมสนับสนุนทหารแนวหน้า จึงต้องการรู้ว่าฐานแนวหน้าขาดยุทธภัณฑ์อะไรบ้าง หากทราบข้อมูลได้มากเท่าไหร่ เท่ากับว่าติดเขี้ยวเล็บได้มากเท่านั้น แต่ไม่ใช่ทำเป็นไม่รู้แล้วจัดหาแบบไม่ถูกต้อง ซึ่งเป็นเรื่องที่ไม่ถูกต้อง หากสิ่งที่กองทัพต้องจัดหายุทธภัณฑ์ให้กับแนวหน้า แต่กลับให้หน่วยงานภายนอกจัดหาให้







