วันที่ 24 ต.ค.65 รศ.หริรักษ์ สูตะบุตร อดีตรองอธิการบดีฝ่ายบริหารบุคคล มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ โพสต์เฟซบุ๊ก Harirak Sutabutr ระบุข้อความว่า...ผมรู้จักและคุ้นเคยกับอ.นันทนา นันทวโรภาส ตั้งแต่แกเป็นนักศึกษาที่มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ เพราะแกเป็นประธานชุมนุมปาฐก และผมเป็นผู้ช่วยท่านอ.นรนติ เศรษฐบุตร ซึ่งเป็นรองอธิการบดีฝ่ายการนักศึกษาในขณะนั้น มีหน้าที่ดูแลกิจกรรมนักศึกษาและกีฬา ดังนั้นแม้ผมไม่ได้สอนอ.นันทนาโดยตรง เพราะมาจากคนละคณะ แต่ก็นับว่า ต้องติดต่องานกันบ่อยครั้ง เมื่อแกจบการศึกษาแล้ว ก็ได้พบกันบ้างเป็นครั้งคราวตามที่ต่างๆ แต่ในระยะกว่าสิบปีผ่านมา ไม่เคยได้พบกันเลย เห็นแต่ในช่องข่าวต่างๆเสมอ
ผมจะไม่ตัดสินในกรณีที่เป็นข่าวอยู่ในขณะนี้ว่า การให้สัมภาษณ์ของอ.นันทนา ถือว่าเป็นการขัดต่อหลักจริยธรรมของวุฒิสมาชิกอย่างร้ายแรงหรือไม่ แต่อยากขอเล่านิทานที่มาจากเรื่องจริง เป็นนิทานที่ผมชอบเล่าให้ลูกศิษย์ฟังเกือบทุกรุ่นที่เรียนวิชาเกี่ยวกับการบริหารธุรกิจ ซึ่งมีรายละเอียดดังนี้
ครั้งหนึ่งในอดีตนานมาแล้ว บริษัทผู้ผลิตไฟฟ้าขนาดใหญ่ของสหรัฐอเมริกา ประสบปัญหาในฤดูหนาว เวลามีหิมะตกหนัก หิมะจะเกาะสายไฟฟ้าแรงสูง ทำให้บางครั้งสายไฟรับน้ำหนักไม่ไหว ต้องขาดลงมา บริษัทจึงมีทีมคนงานที่ต้องใช้รถกระเช้า หรือบางครั้งต้องปีนขึ้นไปบนหัวเสา เพื่อใช้เครื่องมือเขย่าสายไฟเพื่อให้หิมะตกลงมาบนพื้นดิน ปัญหาคืองานดังกล่าวนี้ยากลำบาก ต้องใช้เวลานานและบางครั้งคนงานก็เกิดอุบัติเหตุตกลงมาจากเสาไฟ
เพื่อแก้ปัญหาดังกล่าว ฝ่ายวิศวกรรมจึงจัดประชุมเพื่อระดมสมอง หาวิธีแก้ปัญหาที่มีประสิทธิภาพและมีความปลอดภัยสูงสุด ในการประชุม บรรดาวิวกรและช่างต่างก็เสนอวิธีแก้ไขปัญหากันต่างๆนาๆ บางคนมี idea บรรเจิด ถึงกับจะฝึกหมีให้ปีนขึ้นไปเขย่าแทนคน บางคนเสนอว่า ไม่ต้องฝึกแต่ให้เอาน้ำผึ้งไปวางไว้หมีก็ไต่ขึ้นไปเอง ใช้เวลาไปหลายชั่วโมงก็ไม่สามารถหาวิธีที่เป็นที่พอใจของที่ประชุมได้
ขณะที่ทุกคนยังคิดอะไรไม่ออก เลขาณุการของวิศวกรใหญ่ซึ่งมีหน้าที่จดรายงานการประชุม ก็เกิดมีความคิดขึ้น เนื่องจากเธอเคยเป็นพยาบาลทำงานให้กองทัพในสงครามเวียตนาม นึกถึงเฮลิคอปเตอร์เวลาลงจอด ใบพัดที่หมุนอยู่จะทำให้สิ่งของทุกอย่างที่อยู่ด้านล่าง ปลิวกระจายไปหมด เธอจึงเสนอความคิดว่า หากนำเฮลิคอปเตอร์ไปบินอยู่เหนือสายไฟฟ้าแรงสูง ก็น่าจะทำให้หิมะหลุดออกจากสายไฟได้ ที่ประชุมเห็นด้วย วิศวกรแต่ละคนอยากจะทุบหัวตัวเองด้วยความเจ็บใจว่า เหตุใดตัวเองจึงนึกถึงวิธีนี้ไม่ได้ และไปทดลองก็ปรากฎว่าได้ผลดีมาก
นิทานเรื่องนี้จึงเป็นอุทธาหรณ์สอนใจว่า เราไม่อาจดูแคลนใครได้เลยในเรื่องความคิดสร้างสรรค์ ไม่ว่าคนๆนั้นจะเป็นใคร มีการศึกษาสูงหรือไม่เพียงใด ในห้องเรียนของนักศึกษา MBA ในสมัยก่อน อาจารย์มักจะเล่าถึง กระดาษ post it ของ 3 M ว่าเกิดขึ้นจากความคิดของพนักงานธรรมดาๆของ 3 M คนหนึ่งที่หงุดหงิดเวลาร้องเพลงในโบสถ์ เมื่อเอากระดาษคั่นหนังสือคั่นหน้าที่ต้องดูเนื้อเพลงไว้ แต่เมื่อต้องยืนขึ้นร้องเพลงกระดาษคั่นหนังสือก็ตกลงมา จึงเกิดไอเดียที่นำไปสู่ผลิตภัณฑ์ที่ทุกคนต้องมีติดบ้านและติดสำนักงาน เป็นผลิตภัณฑ์ที่ขายดีที่สุดผลิตภัณฑ์หนึ่งในประวัติศาสตร์ของ 3 M เลยทีเดียว
ขอฝากข้อคิดไว้สำหรับทุกๆท่านที่ได้อ่านข้อเขียนชิ้นนี้ รวมทั้งอ.นันทนาด้วยก็แล้วกันนะครับ







