นายวินิจ วิเศษสุวรรภูมิ ผู้อำนวยการสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง (สศค.) ในฐานะโฆษกกระทรวงการคลัง เผยว่า กระทรวงการคลังได้ดำเนินการระงับสิทธิกับร้านค้าที่ทำผิดเงื่อนไขโครงการคนละครึ่ง พลัส เพิ่มอีก 7 ราย จากก่อนหน้านี้ดำเนินการแล้ว 3 ราย โดยทั้งหมดเป็นผู้ประกอบการร้านค้าที่มีแอปพลิเคชันถุงเงิน สืบเนื่องจากการเพิ่มระบบ Data Analysis ในการตรวจสอบและติดตามการใช้จ่ายในโครงการ ซึ่งทำให้สามารถเพิ่มประสิทธิภาพในการตรวจจับธุรกรรมที่ต้องสงสัย หรือผิดปกติได้มากขึ้น
“เราเพิ่มระบบ Data Analysis เข้ามา ซึ่งตรงนี้จะช่วยในการรันข้อมูล และมีระบบติดตามการใช้จ่ายในโครงการอย่างใกล้ชิด ตัวอย่างที่ชัดเจน คือ ร้านค้าหนึ่งที่เข้าร่วมโครงการมีการขายสินค้าที่จุดที่ 1 แล้ว และภายในระยะเวลา 1 นาที พบว่ามีการขายสินค้าอีกในระยะทางที่ห่างออกไปหลายสิบกิิโลเมตร ซึ่งถือเป็นเรื่องผิดปกติ ตรงนี้ระบบก็จะเข้าไปติดตามดูอย่างใกล้ชิด จริง ๆ แล้วเรามีระบบติดตามแบบนี้อยู่แล้ว แต่ในโครงการคนละครึ่ง พลัสครั้งนี้ได้มีการเตรียมการอย่างดีเพื่อจัดการปัญหาเหล่านี้” นายวินิจ กล่าว
ทั้งนี้ ยืนยันว่าปัจจุบันร้านค้าหรือประชาชนที่ทำผิดหรือส่อทำผิดตามเงื่อนไขของโครงการคนละครึ่ง พลัส ยังมีจำนวนน้อย แต่หากหน่วยงานที่รับผิดชอบเพิ่มความเข้มข้นในการตรวจและติดตามก็เชื่อว่าจะช่วยแก้ปัญหาในส่วนนี้ไปได้ และกระทรวงการคลังยืนยันชัดเจนว่าหากพบมีการกระทำผิดเงื่อนไขของโครงการ ไม่ว่าจะเป็นร้านค้าหรือประชาชน พร้อมจะดำเนินคดีฉ้อโกงอย่างถึงที่สุดทุกกรณีทั้ง 2 ฝ่าย ไม่มีการยอมความแต่อย่างใด
นายวินิจ กล่าวอีกว่า อยากยืนยันและสร้างความเชื่อมั่นให้กับผู้ประกอบการร้านค้าที่เข้าร่วมโครงการคนละครึ่ง พลัส ว่ารัฐบาลวางเป้าหมายให้โครงการดังกล่าวมีส่วนสำคัญในการลดภาระค่าใช้จ่ายของประชาชน และช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจในช่วงปลายปี ไม่ได้มีเป้าหมายเพื่อใช้เป็นกับดักในการหลอกล่อเก็บภาษีกับใครแต่อย่างใด ส่วนข้อกังวลเรื่องการถูกตรวจสอบภาษีย้อนหลังนั้น อยากชี้แจงว่าหากธุรกิจ ร้านค้า หรือประชาชนที่เข่าข่ายต้องเสียภาษีอยู่แล้วในส่วนนี้กรมสรรพากรจะมีเครื่องมือในการตรวจจับและตรวจสอบที่มีศักยภาพอยู่แล้ว ไม่เกี่ยวกับโครงการคนละครึ่ง พลัส แน่นอน








