นายเอกนิติ นิติทัณฑ์ประภาศ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง เปิดเผยว่า ในสัปดาห์หน้าจะขับเคลื่อนแก้ไขปัญหาหนี้ครัวเรือนอย่างเป็นระบบ โดยการดึงหนี้เสียของประชาชนที่เป็นหนี้สินเชื่อส่วนบุคคล และหนี้บัตรเครดิตที่สะสมมาตั้งแต่อดีต มาแก้ไข ซึ่งได้หารือกับนายวิทัย รัตนากร ผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย และนายลวรณ แสงสนิท ปลัดกระทรวงการคลังแล้ว
โดยแนวทางเป็นการนำเงินคงเหลือจากกองทุนเพื่อการฟื้นฟูและพัฒนาระบบสถาบันการเงิน (FIDF) ประมาณ 26,000 ล้านบาท มาซื้อหนี้ไม่ก่อให้เกิดรายได้ (NPL) จากแบงก์พาณิชย์และน็อนแบงก์ ซึ่งการซื้อหนี้จะดำเนินการผ่านบริษัทบริหารสินทรัพย์สุขุมวิท (SAM) เนื่องจากการจัดตั้งบริษัทบริหารสินทรัพย์ หรือ AMC ใหม่ ต้องใช้เวลา
“การซื้อหนี้ เพื่อให้ลูกหนี้สามารถปรับโครงสร้างหนี้ ยืดระยะเวลาชำระ ปรับลดต้นและดอกเบี้ยตามศักยภาพ โดยกระทรวงการคลังจะทำงานร่วมกับเครดิตบูโร หรือบริษัท ข้อมูลเครดิตแห่งชาติ และธนาคารต่าง ๆ”
นายเอกนิติ กล่าวอีกว่า หน่วยงานที่เกี่ยวข้องกำลังขับเคลื่อนมาตรการ Information Based Lending เพื่อช่วยเหลือลูกหนี้ครัวเรือนให้สามารถฟื้นตัวทางการเงินได้อย่างยั่งยืน พร้อมแนวทางใช้ “อารีย์ สกอร์” (Ari Score) เป็นเครื่องมือประเมินศักยภาพและวินัยทางการเงินของลูกหนี้ หากลูกหนี้ปฏิบัติตามวินัยทางการเงิน อารีย์ สกอร์ จะช่วยให้ปรับลดดอกเบี้ยต่อเนื่อง โดยลูกหนี้จะต้องให้ความยินยอมในการเปิดเผยข้อมูลหนี้สินและค่าใช้จ่ายต่าง ๆ เช่น ค่าน้ำ ค่าไฟ เพื่อให้ธนาคารสามารถเห็นสถานะทางการเงินที่แท้จริง และปรับโครงสร้างหนี้ได้อย่างถูกต้อง
“มาตรการนี้ช่วยให้ลูกหนี้มี ลมหายใจทางการเงิน มากขึ้น ลดการถูกติดตามทวงหนี้อย่างเข้มงวด และยังสามารถสร้างแรงจูงใจให้กลับมามีวินัยทางการเงิน รวมถึงอาจมีการสนับสนุนจากธนาคารออมสินในการเติมเงินช่วยเหลือ เพื่อให้ลูกหนี้กลับมาฟื้นตัวอย่างยั่งยืน เป็นส่วนหนึ่งของการแก้ปัญหาหนี้ครัวเรือนในระยะยาว”
ทั้งนี้แนวทางเป็นการนำเงินคงเหลือจากกองทุนเพื่อการฟื้นฟูและพัฒนาระบบสถาบันการเงิน (FIDF) ประมาณ 26,000 ล้านบาท มาซื้อหนี้ไม่ก่อให้เกิดรายได้ (NPL) จากแบงก์พาณิชย์และน็อนแบงก์ ซึ่งการซื้อหนี้จะดำเนินการผ่านบริษัทบริหารสินทรัพย์สุขุมวิท (SAM) เนื่องจากการจัดตั้งบริษัทบริหารสินทรัพย์ หรือ AMC ใหม่ ต้องใช้เวลา
“การซื้อหนี้ เพื่อให้ลูกหนี้สามารถปรับโครงสร้างหนี้ ยืดระยะเวลาชำระ ปรับลดต้นและดอกเบี้ยตามศักยภาพ โดยกระทรวงการคลังจะทำงานร่วมกับเครดิตบูโร หรือบริษัท ข้อมูลเครดิตแห่งชาติ และธนาคารต่าง ๆ”
นายเอกนิติ กล่าวอีกว่า หน่วยงานที่เกี่ยวข้องกำลังขับเคลื่อนมาตรการ Information Based Lending เพื่อช่วยเหลือลูกหนี้ครัวเรือนให้สามารถฟื้นตัวทางการเงินได้อย่างยั่งยืน พร้อมแนวทางใช้ “อารีย์ สกอร์” (Ari Score) เป็นเครื่องมือประเมินศักยภาพและวินัยทางการเงินของลูกหนี้ หากลูกหนี้ปฏิบัติตามวินัยทางการเงิน อารีย์ สกอร์ จะช่วยให้ปรับลดดอกเบี้ยต่อเนื่อง โดยลูกหนี้จะต้องให้ความยินยอมในการเปิดเผยข้อมูลหนี้สินและค่าใช้จ่ายต่าง ๆ เช่น ค่าน้ำ ค่าไฟ เพื่อให้ธนาคารสามารถเห็นสถานะทางการเงินที่แท้จริง และปรับโครงสร้างหนี้ได้อย่างถูกต้อง
“มาตรการนี้ช่วยให้ลูกหนี้มี ลมหายใจทางการเงิน มากขึ้น ลดการถูกติดตามทวงหนี้อย่างเข้มงวด และยังสามารถสร้างแรงจูงใจให้กลับมามีวินัยทางการเงิน รวมถึงอาจมีการสนับสนุนจากธนาคารออมสินในการเติมเงินช่วยเหลือ เพื่อให้ลูกหนี้กลับมาฟื้นตัวอย่างยั่งยืน เป็นส่วนหนึ่งของการแก้ปัญหาหนี้ครัวเรือนในระยะยาว”
ด้าย นายวิทัย รัตนากร ผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) กล่าวว่า เศรษฐกิจไทยเผชิญปัญหาเชิงโครงสร้างมากมาย และหนึ่งปัญหาเชิงโครงสร้างสำคัญ คือ หนี้ครัวเรือนที่อยู่ในระดับสูงกว่า 86.6% แม้จะลดลงจากระดับ 90% ซึ่งเป็นผลมาจากอัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจ และการปล่อยสินเชื่อใหม่ที่ชะลอ ทำให้สัดส่วนหนี้ครัวเรือนปรับลดลง แต่หนี้ครัวเรือนที่อยู่ในระดับสูงจะเป็นแรงกดดันต่อการบริโภค กำลังซื้ออ่อนแอ และการลงทุนน้อยลง
ปัจจุบันหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้อยู่ที่ราว 4% และสินเชื่อกล่าวถึงเป็นพิเศษ (SM หรือ Stage 2) ราว 8-9% รวมเป็นหนี้เสียประมาณ 11-12% ดังนั้นหากไม่สามารถแก้ตรงนี้ได้ จะกระทบความเป็นอยู่ของคน และผู้ประกอบการเอสเอ็มอี ทำให้โอกาสที่เศรษฐกิจจะเดินต่อไปได้ยาก
“ธปท.อยากเห็น AMC ที่แอ็กทีฟในการแก้ปัญหาหนี้เสียและดูดซับหนี้มากขึ้น โดย BAM มีสัดส่วนประมาณ 45% และ SAM มีสัดส่วน 15% จะช่วยแก้ปัญหาหนี้อย่างยั่งยืน ช่วยเหลือสังคม และเกิดอิมแพ็กต์ นอกจากนี้ต้องการให้ AMC เข้าอยู่ในระบบบริษัท ข้อมูลเครดิตแห่งชาติ จะช่วยให้มีฐานข้อมูลชัดเจนขึ้น และเมื่อแก้หนี้เสร็จจะสามารถกลับเข้าระบบได้
นายวิทัย กล่าวว่า ธปท.จะมีการ “แก้ประกาศ” การจัดตั้งบริษัทร่วมทุนระหว่างสถาบันการเงินและบริษัท บริหารสินทรัพย์ (JVAMC) โดยแก้ไขเพิ่มเติม ขยายขอบเขตในส่วนที่เกี่ยวกับสถาบันการเงินเฉพาะกิจของรัฐ (SFIs) ให้สามารถดำเนินการได้มากขึ้น
ขณะเดียวกัน ธปท.ร่วมกับกระทรวงการคลัง และสมาคมธนาคารไทย ในการเจรจาการแก้หนี้ประชาชนต่ำกว่า 100,000 บาท คาดว่าภายในสัปดานี้ หรือสัปดาห์หน้าจะมีความชัดเจนออกมา โดยเฟสแรก จะมีการโอนหนี้ 1.5-2 ล้านราย แบ่งเป็น ลูกหนี้ธนาคารพาณิชย์ 7 แสนราย ลูกหนี้น็อนแบงก์ (ลูกธนาคาร) 8 แสนราย และลูกหนี้ SFIs อีกราว 4-5 แสนราย
“เฟสแรกจะมีการโอนหนี้ของแบงก์พาณิชย์ และน็อนแบงก์ไปให้ SAM เป็นผู้ดูแล ส่วนลูกหนี้ที่เป็นของ SFIs จะถูกโอนไปให้บริษัท บริหารสินทรัพย์อารีย์ ที่เป็นการร่วมทุนระหว่างธนาคารออมสิน และบริษัท บริหารสินทรัพย์ กรุงเทพพาณิชย์ จำกัด (มหาชน) หรือ BAM เป็นผู้บริหารจัดการ ส่วนหนี้ของกลุ่มน็อนแบงก์ ที่มีอยู่ 1.6 ล้านราย จะดำเนินในเฟสถัดไป”








