เจ้าหน้าที่ความมั่นคงของประเทศบราซิล ได้เปิดเผยต่อสื่อต่างประเทศว่า มีผู้เสียชีวิตแล้วอย่างน้อย 64 ราย จากปฏิบัติการบุกจู่โจมครั้งใหญ่ที่สุดของตำรวจในนคร ริโอเดจาเนโร เมื่อวันอังคารที่ผ่านมา โดยปฏิบัติการดังกล่าวมีเป้าหมายคือการปราบปรามกลุ่มอาชญากรยาเสพติดครั้งสำคัญ ในบรรดาผู้เสียชีวิตทั้งหมดนั้น รวมถึงเจ้าหน้าที่ตำรวจบราซิล 4 นาย ด้วย
นาย คลาดิโอ คาสโตร ผู้ว่าการรัฐริโอเดจาเนโร ได้แถลงต่อผู้สื่อข่าวว่า ในการบุกจู่โจมครั้งนี้ ตำรวจสามารถยึด "ยาเสพติดจำนวนมาก" รวมถึงปืนไรเฟิลอีกอย่างน้อย 42 กระบอก ตามรายงานของสำนักข่าวรอยเตอร์ และยังมีการยืนยันทางโซเชียลมีเดียจากเจ้าหน้าที่เพิ่มเติม
ผู้ว่าการ คลาดิโอ ได้โพสต์ข้อความผ่านบัญชี X (Twitter) ของตนเองเมื่อบ่ายวันอังคาร โดยระบุว่าการบุกจู่โจมในครั้งนี้ถือเป็น "ปฏิบัติการครั้งใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์ของริโอเดจาเนโร"
การบุกจู่โจมในพื้นที่สลัมถือเป็นเรื่องปกติที่เกิดขึ้นในเมืองนี้ก่อนการจัดงานระดับนานาชาติ ซึ่งในสัปดาห์หน้า ริโอเดจาเนโรกำลังจะเป็นเจ้าภาพจัดการประชุมใหญ่ด้านสภาพภูมิอากาศ คือการประชุมสุดยอดนายกเทศมนตรีโลก C40
ทางการได้เริ่มต้นปฏิบัติการนี้เพื่อ "ต่อสู้กับการขยายอาณาเขต" ของกลุ่มอาชญากรที่ชื่อว่า โคมานโด เวอร์เมลโญ (Comando Vermelho) ตามที่รัฐบาลริโอเดจาเนโรได้ชี้แจงเพิ่มเติมในกระทู้ข้อความยาวบนแพลตฟอร์ม X
รัฐบาลยังกล่าวด้วยว่า ปฏิบัติการครั้งนี้ได้มีการเตรียมการและดำเนินการมานานกว่าหนึ่งปีแล้ว โดยมีเจ้าหน้าที่ตำรวจทั้งทหารและพลเรือนเข้าร่วมปฏิบัติการมากกว่า 2,500 นาย และจากการโพสต์บนโซเชียลมีเดียของกรมตำรวจเมืองริโอเดจาเนโร พบว่ามีการจับกุมผู้ต้องสงสัยได้แล้วอย่างน้อย 81 คน
เจ้าหน้าที่ยังเปิดเผยถึงยุทธวิธีการต่อต้านของกลุ่มอาชญากร โดยระบุว่าระหว่างการบุกจู่โจม สมาชิกแก๊งได้ใช้ โดรนโจมตี เจ้าหน้าที่ตำรวจ โดยรัฐบาลรัฐรีโอเดจาเนโรได้แชร์วิดีโอประกอบในโพสต์บน X และกล่าวว่า "เพื่อเป็นการตอบโต้ อาชญากรใช้โดรนโจมตีเจ้าหน้าที่ตำรวจในเพนญา คอมเพล็กซ์"
รัฐบาลรัฐรีโอเดจาเนโรเสริมว่า "แม้จะมีการโจมตีเกิดขึ้น แต่กองกำลังรักษาความปลอดภัยยังคงมุ่งมั่นในการปราบปรามอาชญากรรม"
"นี่คือขนาดของความท้าทายที่เรากำลังเผชิญ" ผู้ว่าการ คลาดิโอ กล่าวทิ้งท้ายในโพสต์ ก่อนจะใช้คำที่ได้รับความนิยมในกลุ่มผู้นำฝ่ายปราบปรามอาชญากรรมในสหรัฐอเมริกาและละตินอเมริกา นั่นคือ "มันไม่ใช่อาชญากรรมทั่วไปอีกต่อไปแล้ว แต่มันคือการก่อการร้ายยาเสพติด" พร้อมทั้งขอให้ผู้อยู่อาศัยในย่านที่ได้รับผลกระทบอยู่แต่ในบ้านระหว่างปฏิบัติการ
จากเหตุความไม่สงบที่เกิดขึ้น กระทรวงการต่างประเทศสหรัฐฯ ได้สั่งให้นักท่องเที่ยวหลีกเลี่ยงพื้นที่ทางตอนเหนือของริโอเมื่อวันอังคาร โดยเตือนว่า "การปะทะกันระหว่างตำรวจและกลุ่มอาชญากรที่ยังคงดำเนินอยู่ ได้ก่อให้เกิดการหยุดชะงักของการจราจรในหลายพื้นที่ของโซนเหนือ"
การบุกจู่โจมเมื่อวันอังคารไม่ใช่ครั้งแรกในสลัมอาเลเมาของปีนี้ เพราะในเดือนมกราคม ปฏิบัติการของตำรวจก็เพิ่งทำให้มีผู้เสียชีวิตไป 5 ราย และย่านนี้ก็เต็มไปด้วยสิ่งกีดขวางที่คล้ายกับรถยนต์ที่ถูกไฟไหม้มาแล้ว
ผู้ว่าการรัฐรีโอเดจาเนโรยังอ้างว่า ปฏิบัติการในอาเลเมาครั้งนี้มีความยิ่งใหญ่กว่าวิกฤตการณ์ด้านความมั่นคงอันยืดเยื้อและอื้อฉาวซึ่งเคยเกิดขึ้นในปี 2010 เสียอีก
ด้านสถาบันโฟโก ครูซาโด (Crossfire) ซึ่งเป็นองค์กรที่ติดตามสถานการณ์ความรุนแรงจากอาวุธปืนในบราซิล ระบุข้อมูลว่า มากกว่าครึ่งหนึ่งของการบาดเจ็บจากอาวุธปืนที่บันทึกไว้ในเดือนกันยายน 2025 นั้นมาจากปฏิบัติการของตำรวจ
การบุกจู่โจมสลัมที่คล้ายคลึงกันในบราซิลที่ผ่านมา มักก่อให้เกิดเสียงวิพากษ์วิจารณ์อย่างมากมายจากผู้สนับสนุนสิทธิพลเมือง โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเดือนพฤษภาคม 2021 การบุกจู่โจมในชุมชนแออัดจาคาเรซินโญ่ทำให้มีผู้เสียชีวิตอย่างน้อย 25 ราย และนำไปสู่การที่ศาลฎีกาสั่งห้ามการบุกจู่โจมของตำรวจทั้งหมดจนกว่าการระบาดของโควิด-19 จะสิ้นสุดลง เว้นแต่สถานการณ์จะ "เป็นข้อยกเว้นโดยสิ้นเชิง"
ล่าสุด เมื่อวันอังคารที่ผ่านมา สำนักงานสิทธิมนุษยชนแห่งสหประชาชาติ ได้ออกมาวิพากษ์วิจารณ์การบุกจู่โจมดังกล่าวผ่านโพสต์บน X โดยแสดงความรู้สึก "หวาดกลัว" กับความรุนแรงที่เกิดขึ้น
"ปฏิบัติการอันนองเลือดนี้ยิ่งตอกย้ำแนวโน้มผลลัพธ์อันร้ายแรงถึงชีวิตจากปฏิบัติการของตำรวจในชุมชนที่ถูกกีดกันทางสังคมของบราซิล" สำนักงานฯ ระบุ "เราขอเตือนเจ้าหน้าที่ถึงพันธกรณีภายใต้กฎหมายสิทธิมนุษยชนระหว่างประเทศ และขอเรียกร้องให้มีการสืบสวนอย่างรวดเร็วและมีประสิทธิภาพ"
#ริโอเดจาเนโร #บราซิล #ตำรวจบราซิล #อาชญากรรม #ยาเสพติด #สลัมอาเลเมา #ความรุนแรง #ข่าวต่างประเทศ








