ตรวจพบสารหนูในแม่น้ำสาละวินเกินค่ามาตรฐาน นักวิจัย มช.คาดมาจากเหมืองแร่ต้นแม่น้ำ-แนะทางการเร่งตรวจซ้ำ-แจ้งเตือนประชาชน
เมื่อวันที่ 28 ตุลาคม 2568 ผศ.ดร.ว่าน วิริยะ ผู้ช่วยหัวหน้าศูนย์วิจัยวิทยาศาสตร์สิ่งแวดล้อม มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ (มช.) เปิดเผยว่าได้มีการเก็บตัวอย่างน้ำในแม่น้ำสาละวินช่วงที่ไหลผ่าน อ.แม่สะเรียง จ.แม่ฮ่องสอน เมื่อต้นเดือนกันยายน 2568 ซึ่งเก็บตัวอย่าง 3 จุดมาตรวจสอบคุณภาพน้ำ พบว่าจุดแรกบริเวณแม่น้ำสาละวินเหนือบ้านท่าตาฝั่งเล็กน้อย พบสารหนู 0.05 มก./ล. (ค่ามาตรฐาน 0.01 มก./ล.) จุดที่ 2 บริเวณท่าด่านล่างหมู่บ้านท่าตาฝั่งเล็กน้อย พบสารหนูเท่ากับจุดแรกคือ 0.05 มก./ล. และจุดสุดท้ายบริเวณบ้านแม่สามแลบ พบสารหนู 0.04 มก./ล.
ผศ.ดร.ว่านกล่าวว่า ก่อนหน้านั้น ได้เคยมีผู้ส่งน้ำจากแม่น้ำสาละวินมาให้ตรวจแล้วครั้งหนึ่งซึ่งพบว่ามีสารหนูเกินค่ามาตรฐานเช่นกัน ซึ่งนอกจากสารหนูแล้ว ยังพบว่าสารโลหะหนักตัวอื่นๆ ก็ปริ่มๆ ที่จะเกินค่ามาตรฐานเช่นกัน ทำให้เสี่ยงสูง ดังนั้นหน่วยงานที่เกี่ยวข้องควรรีบเข้าไปตรวจสอบ และแจ้งเตือนประชาชนให้ทราบ
อนึ่ง แม่น้ำสาละวินมีความยาวประมาณ 2,800 กม. ไหลจากเทือกเขาหิมะในมณฑลยูนนาน ประเทศจีน เข้าประเทศพม่าผ่านรัฐฉาน รัฐคะเรนนี และลัดเลาะชายแดนไทย 127 กม. ด้าน จ.แม่ฮ่องสอน ก่อนไหลเข้ารัฐกะเหรี่ยง และรัฐมอญ และไหลลงทะเลที่อ่าวเมาะตะมะ
ผู้สื่อข่าวถามว่าคิดว่าสาเหตุของสารโลหะหนักที่ปนเปื้อนครั้งนี้น่าจะมาจากสาเหตุใด ผศ.ดร.ว่านกล่าวว่า จากข้อมูลของ Stimson Center พบว่ามีการทำเหมืองแร่ต่างๆ และแรร์เอิร์ทบริเวณต้นแม่น้ำสาละวินจำนวนมาก ซึ่งเป็นปัจจัยที่ต้องเฝ้าระวัง แต่อยู่ไกลมากจากจุดเก็บตัวอย่างน้ำ จึงยังไม่แน่ใจว่ามีสาเหตุจากการทำเหมืองหรือไม่ ขณะเดียวกันในบางจุดยังมีการทำสวนยางพาราขนาดใหญ่ และมีน้ำที่ขุ่นมากไหลลงแม่น้ำสาละวิน ดังนั้นจึงยังตอบไม่ได้ชัดเจนว่ามีสาเหตุจากอะไรแน่
ผู้สื่อข่าวถามว่าคิดอย่างไรกรณีที่ไทยและสหรัฐฯ ลงนามความร่วมมือในการพัฒนาความหลากหลายของห่วงโซ่อุปทานของแร่ธาตุที่มีความสำคัญในระดับโลก หรือที่เรียกสั้นๆ ว่า “MOU แรร์เอิร์ท” ผศ.ดร.ว่านกล่าวว่า โดยส่วนตัวแล้ว ไม่เห็นด้วย กับการลงนามครั้งนี้ เพราะไม่คุ้มค่ากับผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อม หากประเทศไทยต้องการเอาดีทางธุรกิจก็ควรใช้ช่องทางอื่นที่มีอยู่มากมาย แต่ไม่ใช่เอาเรื่องความเสี่ยงของสุขภาพประชาชนมาแลก เพราะเราไม่แน่ใจว่า แม้บางคนบอกว่าจะไม่มีการสร้างเหมืองแรร์เอิร์ท หรือถ้าสร้างก็ใช้เวลานาน แต่สิ่งเหล่านี้ไม่ควรเกิดขึ้น เพราะแม้จะมีเทคโนโลยีสูง แต่ก็สามารถเกิดอุบัติเหตุขึ้นได้เสมอ
“ปัญหาที่เหมืองแรร์เอิร์ทจากประเทศเพื่อนบ้านที่กำลังสร้างความเดือดร้อนขณะนี้ เรายังแก้ไขไม่ได้เลย แล้วเราจะมาทำในบ้านอีกหรือ มันไม่คุ้มกันเลย ประเทศไทยไม่ควรไปเสี่ยงกับเรื่องนี้ เรามีจุดเด่นเรื่องอื่นๆ ได้มากมายที่เกี่ยวกับนวัตกรรมต่างๆ แต่เราไม่ควรแลกกับเรื่องสุขภาพ” ผศ.ดร.ว่าน กล่าว
ทั้งนี้ ในด้านกรมควบคุมมลพิษ (คพ.) มีแผนงานและได้ดำเนินการตรวจวัดคุณภาพสิ่งแวดล้อมในแหล่งน้ำสำคัญทางภาคเหนือ รวมถึง แม่น้ำสาละวิน โดยกำหนดความถี่ในการเก็บตัวอย่างน้ำอย่างต่อเนื่อง โดยการตรวจวัดคุณภาพน้ำเดือนละ 2 ครั้ง และเก็บตัวอย่างตะกอนดินเดือนละ 1 ครั้ง ในช่วงเดือนพฤษภาคมถึงกันยายน 2568 (ตามข้อมูลสถานการณ์คุณภาพสิ่งแวดล้อมของ คพ. ณ วันที่ 9 มิถุนายน 2568)
การตรวจวัดโลหะหนัก มีการตรวจวัดในช่วงต้นปี 2568 ได้ครอบคลุมโลหะหนักหลายชนิด เช่น แคดเมียม ทองแดง แมงกานีส นิกเกิล โครเมียม และสังกะสี ในน้ำและตะกอนดิน
ส่วนประเด็นสารหนูในแหล่งน้ำภาคเหนือ แม้ข้อมูลเฉพาะของแม่น้ำสาละวินที่เผยแพร่ในช่วงเวลาใกล้เคียงกันอาจเน้นหนักไปที่แม่น้ำกกและแม่น้ำสาย แต่กรณีการปนเปื้อนสารหนูและโลหะหนักจากเหมืองแร่แรร์เอิร์ธในรัฐฉาน (เมียนมา) ได้เป็นประเด็นที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (ทส.) และ คพ. ให้ความสำคัญและติดตามสถานการณ์มาอย่างต่อเนื่อง ตั้งแต่ปี 2568 หน่วยงานที่เกี่ยวข้องยอมรับว่าการปนเปื้อนสารพิษมีแหล่งกำเนิดมาจากนอกประเทศ ทำให้การแก้ไขที่ต้นเหตุต้องอาศัยกระบวนการระหว่างประเทศและอาจใช้ระยะเวลา
อย่างไรก็ตาม สำหรับมาตรการเฉพาะหน้า เพื่อรักษาคุณภาพชีวิตประชาชน ได้มีมาตรการ เช่น การออกแบบระบบดักตะกอนเพื่อชะลอการกระจายตัวของสารปนเปื้อน และการแจ้งเตือนประชาชนให้หลีกเลี่ยงการบริโภคหรือใช้น้ำจากแหล่งน้ำที่เสี่ยงสูงต่อการปนเปื้อนสารพิษ
#สารหนู #แม่น้ำสาละวิน #มช #มลพิษ #สิ่งแวดล้อม #เหมืองแร่ #ภัยสุขภาพ #แจ้งเตือนประชาชน #MOUแรร์เอิร์ท #ข่าววันนี้








