พรรคฝ่ายค้าน พากันใจจดใจจ่อ หวั่นไหวกันไปต่างๆนานา ว่า “รัฐบาลเสียงข้างน้อย” อาจจะขยับวัน “ยุบสภาฯ” ออกไปมากกว่า 4 เดือน เพราะเป็นเช่นนั้นขึ้นมาจริงๆ สถานการณ์ของทั้ง “แดง-ส้ม” อาจยากลำบาก
“บวรศักดิ์ อุวรรณโณ” รองนายกรัฐมนตรี ฝ่ายกฎหมาย ได้ออกมายืนยีนแล้วว่าไทม์ไลน์ ทุกอย่างยังเหมือนเดิม โดยรัฐบาลจะยุบสภาฯภายใน 4เดือน ไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง เคยระบุไว้ว่าอยู่ในภายในเดือนมกราคม 2569 หรือไม่ว่า ไม่ได้มีอะไร ทุกอย่างยังคงเป็นไปตามเดิม
หมายความว่าปฏิทินการเมืองที่ “อนุทิน ชาญวีรกูล” นายกรัฐมนตรีและรมว.มหาดไทย ประกาศเอาไว้ คือจะต้องมีการยุบสภาฯ ภายในเดือนมกราคม ปีหน้า 2569
กรอบเวลาที่เดินหน้าไปสู่วันยุบสภาฯ อยู่ที่ต้นปีหน้า แต่ดูเหมือนว่า “ฝ่ายการเมือง” เองวิตกกังวลว่า การยุบสภาฯ อาจจะ “เลื่อนออกไป” หรืออาจ “เร็วกว่าเดิม” ด้วย “เงื่อนไข” ที่สามารถส่งผลต่อการตัดสินใจของนายกฯอนุทิน ได้ทั้งสิ้น
และไม่ว่าการยุบสภาฯ จะมีขึ้น “ก่อน” หรือ ถูก “ยื้อ” ออกไป จะด้วยสถานการณ์ หรือจากการเดินเกม ของ “ฝ่ายค้าน” ด้วยการยื่นญัตติขอเปิดอภิปรายไม่ไว้วางใจ ในสมัยประชุมสภาฯ ที่จะเปิดขึ้นอีกครั้งในเดือนธันวาคม ล้วนมีผลบวกและลบ มีส่วนได้ส่วนเสีย ในการต่อสู้ทางการเมืองตามมา
สำหรับ ฝ่ายค้าน ทั้ง พรรคเพื่อไทย ค่ายสีแดง และ พรรคประชาชน ค่ายสีส้ม แล้วประเมินแล้วว่าหาก พรรคภูมิใจไทย พรรคแกนนำรัฐบาล “อยู่ยาว” โอกาสที่ฝ่ายค้าน จะทานกระแส คนละครึ่ง พลัส นโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจ ของรัฐบาลไม่ไหว จนอาจทำให้กระทบต่อ คะแนนนิยม
โดยเฉพาะพรรคส้ม เองที่ต้องถือว่าเวลานี้ ทำงานแข่งกับเวลา ด้านหนึ่งเตรียมจัดทัพรับเลือกตั้งครั้งใหม่ แต่อีกด้านหนึ่ง ยังต้องเร่ง “ปั้นแผนสำรอง” เพราะอย่าลืมว่า “คดี 44 สส.ก้าวไกล” ที่ร่วมกันเข้าชื่อให้แก้ไขม.112 จะต้อง “จบ” ในเดือนพฤศจิกายน อย่างเร็วที่สุด และอย่างช้าไม่เกิน เดือนธันวาคม
เท่ากับว่า พรรคประชาชน จะต้องประเมินแล้วว่า หากคณะกรรมการป.ป.ช. มีมติออกมาในทางที่เป็น “ลบ” ขึ้นมา จะต้องมี “25 สส.” ของพรรคประชาชน ที่เคยอยู่ในกลุ่ม 44 สส.ก้าวไกล ไม่ได้ไปต่อกับพรรคในการเลือกตั้งรอบหน้า
ดังนั้นความชัดเจนเรื่องการยุบสภาฯในกรอบเดิม คือมกราคม ปีหน้า จึงเป็นหมุดหมายที่น่าจะทำให้พรรคส้ม “เสียหาย” น้อยที่สุด เพราะถึงแม้จะต้องเสีย 25 สส.ไป แต่หากยุบสภาฯ เร็วก็ย่อมมีโอกาสที่พรรค จะ “ขี่กระแส” ลงสนาม ได้สส.กลับเข้าสภาฯ ลุ้นเป็นพรรคอันดับหนึ่ง
ขณะเดียวกัน พรรคเพื่อไทยเอง ที่แม้นาทีนี้ ยังอยู่ในสภาพ “ไร้หัว” ขาด “หัวหน้าพรรคคนใหม่” ที่จะพลิกเกมกลับมาแล้วทำให้สมาชิกพรรคยังมั่นใจได้ว่า การเลือกตั้งรอบหน้า พรรคเพื่อไทยจะได้สส.ตามเป้าที่ “สุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ” แกนนำพรรค ประกาศเอาไว้เกิน 200 ที่นั่งหรือไม่
ยิ่งหากปล่อยให้พรรคภูมิใจไทยอยู่ยาว ยืดเวลาทำแต้มออกไป ไปพร้อมๆกับการเผชิญหน้ากับภาวะ เลือดไหลออก บวกกับปัญหาที่ว่า “ชินวัตร” จะถอยห่าง ทิ้งระยะ ยิ่งกลายเป็นลดทอนพลัง มากขึ้นทุกที
สำหรับพรรคประชาธิปัตย์ ที่เพิ่งได้ “อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ” กลับมาเป็น หัวหน้าพรรคแม้บรรยากาศที่พรรคจะเต็มไปด้วยความคึกคัก แต่ทุกคนรู้ว่า ปัญหาการหาตัวผู้สมัครลงสนาม นั้นไม่ใช่เรื่องง่าย ยิ่งเมื่อต้องเจอกับ “พลังดูด” จากพรรคภูมิใจไทย ทำเอา พื้นที่ฐานเสียงเดิมใน “ภาคใต้” รวนแทบไม่เป็นระบบ
อย่างไรก็ดี สำหรับพรรคภูมิใจไทย แม้จะเป็นรัฐบาลเสียงข้างน้อย และพยายามประคองตัว อยู่ในครบ MOA 4 เดือน เพื่อสร้างผลงาน เตรียมตัวให้พร้อมสำหรับการเลือกตั้งรอบหน้า แต่หากมี “ปัจจัยแทรกซ้อน” เข้ามานั่นคือ “พรรคเพื่อไทย” จับมือ “พรรคประชาชน” เคลื่อนไหว “เตรียม” ยื่นญัตติซักฟอกเมื่อใด จะกลายเป็น “ตัวเร่ง” ให้ต้องตัดสินใจ ปิดเกมก่อนกำหนด ตามมา
ด้วยเหตุนี้ล่าสุดจึงมีคำถามว่า รัฐบาลส่งสัญญาณ “เบรก” ฝ่ายค้าน อย่าเพิ่งรีบยื่นญัตติซักฟอก เพื่อบีบรัฐบาลหรือไม่ ?








