วันที่ 28 ต.ค.68 นายมาริษ เสงี่ยมพงษ์ อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ โพสต์ข้อความผ่าน X ระบุว่า อย่ายอมให้ไทยเป็น ‘หมากตัวหนึ่ง’ แร่ ‘แรร์เอิร์ท’ และ การทูตเทคโนโลยี สร้าง ‘สมดุล’ และ ‘โอกาส’
การลงนาม MOU ไทย–สหรัฐฯ ว่าด้วยความร่วมมือสำรวจและพัฒนา “แร่หายาก” (Rare Earths) คือสัญญาณเตือนให้ประเทศไทยต้องมองให้ไกลกว่าการเป็นเพียง “ผู้ให้ทรัพยากร” แต่ต้องคิดเชิงยุทธศาสตร์ในระดับภูมิรัฐศาสตร์ (Geopolitics) และ ภูมิเศรษฐศาสตร์ (Geoeconomics) อย่างแท้จริง
เพราะสิ่งที่อยู่บนโต๊ะนี้ ไม่ใช่แค่เรื่องแร่ แต่คืออำนาจของศตวรรษที่ 21 ในยุคนี้ แร่หายากคือหัวใจของเทคโนโลยีสมัยใหม่ ตั้งแต่ AI, เซมิคอนดักเตอร์, EV ไปจนถึงอาวุธยุทโธปกรณ์ มหาอำนาจทั้งโลกกำลังแย่งชิงแหล่งวัตถุดิบเหล่านี้ เพื่อคุมอนาคตของเทคโนโลยีและความมั่นคงแห่งชาติ
ไทยต้องเล่น “หมากยุทธศาสตร์” ไม่ใช่เป็นแค่ “หมากในเกม” ถึงแม้ MOU ฉบับนี้จะไม่มีผลผูกพันทางกฎหมายระหว่างประเทศตามที่รัฐบาลกล่าวอ้าง แต่มีผลทางการเมือง ภาพลักษณ์ประเทศ และยุทธศาสตร์อย่างลึกซึ้ง
เพราะในโลกที่มหาอำนาจกำลังสู้กันใน “สงครามเทคโนโลยี” ระหว่างสหรัฐฯ กับจีน — ทุกลายเซนต์บน MOU คือสัญญาณทางการทูตที่สะท้อนจุดยืนทางภูมิรัฐศาสตร์ของประเทศนั้นๆ
อย่าลืมว่า สหรัฐฯ ไม่ได้ลงนามกับไทยเพียงประเทศเดียว แต่ยังมี มาเลเซีย เวียดนาม อินโดนีเซีย ฟิลิปปินส์ และล่าสุด ญี่ปุ่น
นี่ไม่ใช่ความบังเอิญ แต่คือ ยุทธศาสตร์ “ลดการพึ่งพาจีน” ของสหรัฐฯ ผ่านการสร้างพันธมิตรในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้
และในสมการนี้ — ประเทศไทยอาจถูกมองว่าเป็น “ประตูสู่แร่หายากแห่งภูมิภาค” ได้ เนื่องจากไทย อยู่บนที่ตั้งทางยุทธศาสตร์ที่สําคัญ สามารถนำเข้าและส่งออกแร่หายาก และยังเป็นศูนย์กลางการผลิตสินค้าไฮเทคหลายๆ ชนิด มีโครงสร้างพื้นฐานการผลิตที่สามารถรองรับการผลิตสินค้าไฮเทคได้ดีอยู่แล้ว
ไทยจึงต้อง “ยืนบนจุดสมดุล” ไม่ใช่ “เอนเอียงข้างใดข้างหนึ่ง”
แต่การที่ MOU ครั้งนี้เปิดโอกาสให้สหรัฐฯ เข้ามาลงทุนก่อนใคร หากไทยไม่กำหนดกรอบการเจรจาและผลประโยชน์ให้ชัดเจน เราจะกลายเป็น “ผู้เล่นจำเป็น” ที่ไม่มีอำนาจต่อรอง ในทางกลับกัน หากไทยใช้ทรัพยากรนี้เป็น “ฐานอำนาจเชิงยุทธศาสตร์” (Strategic Leverage) เราจะสามารถสร้าง “สมดุลแห่งอำนาจ” (Balance of Power) ระหว่างสหรัฐฯ และจีนได้อย่างมีศักดิ์ศรี
“การทูตเทคโนโลยี” (Tech Diplomacy) จึงเป็นเครื่องมือใหม่ที่ไทยต้องใช้ให้เป็น ไม่ใช่เพียงเพื่อความมั่นคง แต่เพื่อสร้างเศรษฐกิจแห่งอนาคต เชื่อมโยง SMEs ไทยเข้าสู่ห่วงโซ่การผลิตระดับโลก — ทั้งในอุตสาหกรรม EV, เซมิคอนดักเตอร์ และเทคโนโลยีสะอาด ซึ่งเป็นหนึ่งในยุทธศาสตร์ที่ผมได้เคยเสนอไว้ในกระทรวงการต่างประเทศ ตามแผนยุทธศาสตร์การสร้างรายได้ของรัฐบาลแพทองธารที่ดำเนินการมาอย่างต่อเนื่อง
จึงอยากให้รัฐบาลมองแร่หายากคือ “ทุนอำนาจแห่งชาติ” ไม่ใช่แค่ทรัพยากรธรรมชาติ ดังนั้น การตัดสินใจให้สิทธิพิเศษกับต่างประเทศโดยไม่ประเมินผลตอบแทนที่แท้จริง อาจทำให้ไทยสูญเสียอำนาจต่อรองในระยะยาว
เพราะรัฐธรรมนูญไทยเองก็ยังกำหนดชัดว่า ทรัพยากรของชาติจะต้องถูกใช้เพื่อ “ประโยชน์สูงสุดของประเทศ” จากนี้ การมอบสิทธิหรืออนุญาตใด ๆ ต้องผ่านการพิจารณาอย่างรอบคอบจากรัฐสภา และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องอย่างโปร่งใส
ท้ายที่สุด ทางรอดของไทยคือ “การเป็นศูนย์กลางที่สมดุล” ของภูมิภาค เพราะขณะที่โลกกำลังเข้าสู่ยุค “Tech Geopolitics” ที่เทคโนโลยีคืออาวุธ และแร่หายากคือกระสุน ไทยจึงไม่ควรยอมเป็นเพียง “สนามรบของมหาอำนาจ” แต่ต้องกลายเป็น “ศูนย์กลางของสมดุล” (Hub of Balance)
ที่สามารถใช้ภูมิรัฐศาสตร์และภูมิเศรษฐกิจของตนเอง เพื่อสร้างอำนาจต่อรองใหม่ — และกำหนดเกมด้วยมือของเราเองได้
จึงขอย้ำว่า “อย่ายอมให้ไทยเป็นหมาก — แต่ทำให้ไทยเป็นผู้เดินหมาก” ถึงเวลาแล้ว ที่ประเทศไทยต้องมียุทธศาสตร์ชาติด้าน “การทูตเทคโนโลยี” อย่างแท้จริง
เพื่อรักษาอธิปไตยทางเทคโนโลยี (Tech Sovereignty) และต่อยอดทรัพยากรธรรมชาติให้กลายเป็น พลังทางเศรษฐกิจใหม่
เราต้องกล้าที่จะเจรจาในฐานะ “ผู้กำหนดทิศทาง” ไม่ใช่ “ผู้ถูกกดดันให้เลือกข้าง” ครับ
ขอบคุณ X-@AmbPoohMaris








