เวทีสัมมนา ปชป. "ประเทศไทยต้องการอะไรจากพรรคการเมือง" วิทยากรชี้ตรงจุด ไทยยังมีศักยภาพแต่ขาดธรรมาภิบาลในภาครัฐ CEO WHA ย้ำชัด คนไทยไม่โง่ และต้องการฝ่ายค้านที่มีคุณภาพ ตรวจสอบต่อเนื่อง ชี้ชัด 3 สร้าง คือกุญแจสำคัญให้ประเทศกลับมาผงาด
วันที่ 28 ต.ค.2568 ที่พรรคประชาธิปัตย์ จัดสัมมนาแลกเปลี่ยนความคิดเห็นในหัวข้อ "ประเทศไทยต้องการอะไรจากพรรคการเมือง" โดยมี นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ เป็นประธานเปิดงาน พร้อมวิทยากรผู้ทรงคุณวุฒิ ประกอบด้วย นายบรรยง พงษ์พานิช ประธานกรรมการบริหาร กลุ่มธุรกิจการเงินเกียรตินาคินภัทร (KKP) , น.ส.จุรีพร จารุกรสกุล ประธานคณะกรรมการบริหารและซีอีโอกลุ่ม WHA คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) , และ นายสุวิทย์ เมษิณทรีย์ อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรมร่วมสะท้อนปัญหาเชิงโครงสร้างของประเทศ ทั้งเศรษฐกิจ การเมือง และสังคม พร้อมข้อเสนอแนะถึงสิ่งที่พรรคการเมืองควรเร่งดำเนินการเพื่อพาประเทศไทยพ้นจากภาวะถดถอย
โดยนายบรรยง กล่าวว่า การเปลี่ยนแปลงทางเศรษฐกิจโลกชี้ให้เห็นว่า ประเทศไทยเคยมี GDP เติบโตสูงถึง 9-10% แต่หลังจากวิกฤตต้มยำกุ้งและแฮมเบอร์เกอร์ GDP ก็ลดลงเหลือ 5% จนกระทั่งเหลือ 1% ในช่วงโควิด-19 และการฟื้นตัวของไทยเป็นไปอย่างช้ากว่าประเทศอื่น ขณะที่ช่องว่าง GDP ระหว่างประเทศกำลังพัฒนาและประเทศพัฒนาแล้วกำลังแคบลง จากการวิเคราะห์ 8 ดัชนีที่วัดการเติบโตทางเศรษฐกิจ เช่น GDP, อัตราเงินเฟ้อ, การส่งออก, การคอร์รัปชั่น, การกระจายตัว, สถาบัน และความยั่งยืน พบว่าประเทศไทย ไม่ติดอันดับ 1 ใน 50 ของดัชนีใด ๆ เลย โดยบางดัชนีมีคะแนนตามหลังดังนั้นตนยังเชื่อว่าทุกอย่างสามารถแก้ไขได้ โดยการประเมินและปรับปรุง เพื่อให้ไทยพ้นจากภาวะการเติบโตช้าและความถดถอยในเชิงโครงสร้าง
ด้านน.ส.จุรีพร กล่าวว่า ประเทศไทยไม่ควรรอให้เกิดวิกฤต แต่ควร ใช้โอกาสที่มีอยู่ ท่ามกลางการเปลี่ยนแปลงของโลกที่เกิดจากสงครามการค้าสหรัฐฯ-จีน และการเปลี่ยนผ่านของระเบียบโลก ทั้งนี้ประเทศไทยอาจอยู่ใน "จุดที่ต่ำที่สุด" แล้ว และประชาชนมีความคาดหวังสูงต่อการเลือกตั้งที่กำลังจะมาถึง เนื่องจากทนต่อความยากลำบากมานาน แต่สิ่งที่ต้องเร่งแก้ไขคือ ภาคเอกชน, รัฐบาล, การศึกษา, และประชาชนทั่วไป โดยยังมีข้อกังวลอย่างยิ่งต่อประสิทธิภาพและความโปร่งใสของภาครัฐ โดยเฉพาะปัญหาการทุจริต ความไร้ประสิทธิภาพ และการวางแผนที่ไม่เพียงพอ รวมถึงการ ไม่ตอบสนอง ต่อการเรียกร้องจากภาคอุตสาหกรรม สภาหอการค้าไทย
“ขณะที่ฝ่ายค้านต้องปรับตัวให้เป็นฝ่ายค้านที่แข็งแกร่ง สร้างสรรค์ มีคุณภาพ และตรวจสอบรัฐบาลได้อย่างต่อเนื่อง เชื่อว่าคนไทยไม่โง่ และสามารถแยกแยะได้ว่าการค้านแบบใดเป็นไปเพื่อประโยชน์หรือเพื่อทำลาย”น.ส.จุรีพร กล่าว
น.ส.จุรีพร กล่าวว่า แม้จะมีความท้าทายจากประเด็นภูมิรัฐศาสตร์ สภาพภูมิอากาศ เทรนด์ไฮเทค และสังคมผู้สูงวัย แต่ยังเชื่อว่าประเทศไทยมีศักยภาพและยังเป็น หมุดหมายของนักลงทุนต่างชาติ เพราะมีปัจจัยเอื้อต่อการลงทุน เช่น โครงสร้างพื้นฐาน แรงงานที่มีทักษะ และพลังงานสะอาด ซึ่งภาคเอกชนต้องการผู้นำที่มี ความเป็นผู้นำ ซื่อสัตย์ สุจริตประเทศไทยต้องมี 3 สร้าง คือ สร้างคน สร้างสู้ สร้างโอกาส เพื่อให้ประเทศไทยกลับมาผงาดอีกครั้ง
ขณะที่นายสุวิทย์ กล่าว่า การเมืองไทยจะรับมือกับ "โลกป่วน" ได้อย่างไร ในขณะที่ไทยกำลังอยู่ในภาวะ "ป่วย"คำถามคือ นักการเมืองที่จะตอบโจทย์ปัญหานี้อย่างไร ที่ผ่านมาจีดีพีเติบโตต่ำจะทำอย่างไรให้จีดีพีไทยกลับมาเติบโตมากกว่า 5 % คำตอบส่วนหนึ่งก็มาจากการเมือง นอกจากนี้ประเทศไทยไม่สามารถแข่งขันด้วยแรงงานหรือทรัพยากรราคาถูกได้อีกต่อไป และยังไม่ได้เป็นศูนย์กลางเทคโนโลยีขั้นสูง แต่กำลังถูกบีบอยู่ระหว่างกลุ่มประเทศที่มีต้นทุนต่ำกับกลุ่มประเทศที่มีเทคโนโลยีสูง
นายสุวิทย์ กล่าวว่า ไทยต้องเจอกับ 3 ประเด็นเชิงโครงสร้างหลัก ที่ฉุดรั้งประเทศและเป็นอุปสรรคต่อความสามารถในการแข่งขันและการเติบโตของประเทศไทย คือ การปกครองโดยกฎหมาย แทนที่จะเป็น หลักนิติธรรม ที่แท้จริง การคอร์รัปชั่น ที่แพร่หลายและกลายเป็นเรื่องปกติ และความแตกแยกทางการเมืองอย่างรุนแรง นอกจากนี้ ยังต้องเจอกับวงจรอุบาทว์ทางการเมืองที่เรียกว่า 3 ป. ซึ่งประกอบด้วย การปฏิวัติ ประชาธิปไตยเทียม การประท้วงต่อต้าน วงจรนี้บ่อนทำลายความน่าเชื่อถือของรัฐบาลมาอย่างยาวนาน
“ในประวัติศาสตร์ไทยกว่า 90 ปี ยังไม่เคยมีรัฐบาลใดที่ผ่านคุณสมบัติ 3 เรื่อง คือ ความชอบธรรม คุณธรรม และจริยธรรม ได้เลย ที่ผ่านรัฐบาลง่วนอยู่กับการแก้ปัญหาเฉพาะหน้า และทะเลาะกับเรื่องเหล่านี้ โดยเฉพาะกับคนรุ่นใหม่ ที่ต้องให้เวทีเขา ไม่ใช่ปล่อยให้พรรคการเมืองไปกล่อมเกลา ดังนั้นพรรคฯต้องมีการผสมผสานระหว่างคนรุ่นเก่า คนรุ่นใหม่ เข้าด้วยกัน ”นายสุวิทย์ กล่าว








