นายอรรถพล ฤกษ์พิบูลย์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน เปิดเผยว่า ที่ประชุมคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ (กพช.) ซึ่งมี นายพิพัฒน์ รัชกิจประการ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม เป็นประธานแทนนายกรัฐมนตรี ที่ประชุมได้มีการพิจารณาวาระสำคัญด้านพลังงาน 7 เรื่อง และมีมติเห็นชอบ ดังต่อไปนี้
เห็นชอบ กรอบหลักการเบื้องต้นของการดำเนิน “โครงการโซลาร์ฟาร์มชุมชน” (Community-based Solar Power Generation Project) ซึ่งเป็นหนึ่งในนโยบาย Quick Big Win ของกระทรวงพลังงาน โดยมีเป้าหมายในการผลักดันและขับเคลื่อนโครงการไฟฟ้าชุมชน เพื่อสร้างความมั่นคงทางพลังงานในระดับท้องถิ่น และช่วยลดภาระค่าใช้จ่ายด้านไฟฟ้าของประชาชนทั่วประเทศ โดยรูปแบบโครงการจะเป็นโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์แบบติดตั้งบนพื้นดิน ขนาดไม่เกิน 10 เมกะวัตต์ต่อแห่ง รวมกำลังการผลิตไม่เกิน 1,500 เมกะวัตต์ โดยการกำหนดขนาดและพื้นที่เป้าหมายในการดำเนินโครงการจะพิจารณาจากศักยภาพระบบไฟฟ้า ความต้องการใช้ไฟของชุมชน และความพร้อมของที่ดินในพื้นที่
การไฟฟ้าฝ่ายจำหน่ายจะเป็นผู้รับซื้อไฟฟ้าจากโครงการในรูปแบบ Feed-in Tariff (FiT) อัตราไม่เกิน 2.25 บาทต่อหน่วย เป็นระยะเวลา 25 ปี สัญญาแบบ Nonfirm และเป็นผู้จำหน่ายไฟฟ้าที่ผลิตได้ให้แก่ผู้ใช้ไฟในชุมชนเป้าหมาย การคัดเลือกเอกชนร่วมดำเนินโครงการจะพิจารณาจากความพร้อมทั้งด้านคุณสมบัติและเทคนิค เพื่อให้มั่นใจว่าสามารถพัฒนาและดำเนินการได้ตามแผนจนตลอดอายุสัญญา
ทั้งนี้ สิทธิในหน่วย Renewable Energy Certificate (REC) หรือ Carbon Credit ที่เกิดจากการผลิตไฟฟ้าภายใต้โครงการนี้จะเป็นกรรมสิทธิ์ของภาครัฐ และจะระบุไว้ในสัญญาซื้อขายไฟฟ้าอย่างชัดเจน ทั้งนี้ ที่ประชุมได้มอบหมายหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ได้แก่ กระทรวงพลังงาน กระทรวงมหาดไทย กฟภ. ร่วมกันกำหนดพื้นที่ชุมชนเป้าหมายที่เหมาะสมสำหรับดำเนินโครงการ ตลอดจนกำหนดหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขการเข้าร่วมโครงการให้แล้วเสร็จภายในเดือนพฤศจิกายนนี้
“ต่อจากนี้ การไฟฟ้าส่วนภูมิภาค (กฟภ.) จะต้องไปดูจุดเชื่อมต่อการรับไฟ ซึ่งคาดว่ามีหลายพันจุด และเอกชนสามารถเข้าไปร่วมกับชุมชนเพื่อเสนอเข้าร่วมโครงการ โดยต้องเป็นชุมชนที่ขึ้นอยู่กับกรมส่งเสริมการปกครองท้องถิ่น (อปท.) และจากการคำนวณเบื้องต้นจะสามารถทดแทนเป็นค่าไฟให้กับชุมชนในพื้นที่ได้ 40-80 สตางค์ต่อหน่วย โดยจะได้รับตลอดระยะเวลาโครงการ 25 ปี” นายอรรถพล กล่าว
นอกจากนี้ ที่ประชุมเห็นชอบให้ การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) ดำเนินการปรับปรุงระบบส่งไฟฟ้า เพื่อรองรับความต้องการใช้ไฟฟ้าที่เพิ่มขึ้นจากกลุ่มผู้ประกอบการ Data Center ตามนโยบายรัฐบาล โดยให้ใช้งบประมาณภายใต้โครงการปรับปรุงระบบส่งไฟฟ้าบริเวณภาคตะวันออกเพื่อเสริมความมั่นคงระบบไฟฟ้า (Transmission System Improvement Project in Eastern Region to Enhance System Security : TIPE) ประมาณ 3,000 ล้านบาท ซึ่งคณะรัฐมนตรีได้อนุมัติไว้แล้ว เพื่อดำเนินการปรับปรุงระบบส่งไฟฟ้าให้สามารถรองรับความต้องการใช้ไฟฟ้ารวมประมาณ 1,750 เมกะวัตต์ ครอบคลุมการพัฒนาและก่อสร้างสถานีไฟฟ้าแรงสูงในพื้นที่จังหวัดระยองและชลบุรี นอกจากนี้ ที่ประชุมยังได้มอบหมายให้ กฟผ. จัดทำรายละเอียดโครงการเพิ่มเติมใน ระยะสั้นและระยะยาว ซึ่งเป็นแผนการดำเนินการที่ต้องเสนอคณะรัฐมนตรีอนุมัติใหม่ วงเงินลงทุนรวมประมาณ 30,500 ล้านบาท เพื่อเพิ่มศักยภาพและความมั่นคงของระบบไฟฟ้าในพื้นที่ภาคตะวันออกให้เพียงพอต่อการขยายตัวของอุตสาหกรรมดิจิทัล โครงสร้างพื้นฐานหลักในพื้นที่ EEC และความต้องการใช้ไฟฟ้าที่จะเพิ่มขึ้นในอนาคต เพื่อเสนอขออนุมัติจาก ครม. ตามขั้นตอนต่อไป
ที่ประชุมยังได้ เห็นชอบแนวทางดำเนินการสำหรับโครงการพลังงานแสงอาทิตย์แบบติดตั้งบนพื้นดิน โดยเห็นชอบให้ดำเนินการลงนามสัญญาซื้อขายไฟฟ้า (PPA) ในอัตรารับซื้อ 2.1679 บาทต่อหน่วย เนื่องจากอัตราค่าไฟฟ้าสำหรับใช้เจรจาของโครงการพลังงานแสงอาทิตย์แบบติดตั้งบนพื้นดินที่ กฟผ. ได้ดำเนินการจัดทำโดยปรับให้สอดคล้องกับลักษณะโครงการและต้นทุนการดำเนินการของภาคเอกชน ตามมติ กพช. เมื่อวันที่ 21 สิงหาคม 2568 มีอัตรา 2.1941 บาทต่อหน่วย สูงกว่าอัตราค่าไฟฟ้าในรูปแบบ FiT ของโครงการพลังงานแสงอาทิตย์แบบติดตั้งบนพื้นดินที่มีอัตรา 2.1679 บาทต่อหน่วย
ซึ่งเป็นแนวทางการดำเนินการเช่นเดียวกับกรณีโครงการพลังงานลมที่อัตราค่าไฟฟ้าโครงการพลังงานลมที่ กฟผ. ดำเนินการสูงกว่าอัตราค่าไฟฟ้า FiT โครงการพลังงานลมเช่นกัน อย่างไรก็ตาม ที่ประชุมมีมติให้ภาคเอกชนพิจารณาปรับลดอัตราค่าไฟฟ้าเพิ่มเติม เพื่อให้เป็นประโยชน์สูงสุดต่อประชาชน และลดภาระค่าใช้จ่ายด้านพลังงานในภาพรวมและมอบหมายให้คณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน (กกพ.) พิจารณาปรับปรุงกรอบระยะเวลาการลงนามสัญญาซื้อขายไฟฟ้า และขยายกำหนดวันเริ่มจ่ายไฟฟ้าเข้าระบบเชิงพาณิชย์ (SCOD) ซึ่งได้รับผลกระทบจากการชะลอการลงนามสัญญาซื้อขายไฟฟ้าตามตามมติ กพช. เมื่อวันที่ 25 ธันวาคม 2567 ให้เหมาะสมกับสถานการณ์ของแต่ละโครงการ โดยการขยาย SCOD ต้องไม่เกินปี 2573
ที่ประชุม เห็นชอบแนวทางการปรับปรุงกำหนดวันเริ่มจ่ายไฟฟ้าเข้าระบบเชิงพาณิชย์ (SCOD) และแผนการดำเนินงานของโรงไฟฟ้าตามแผนพัฒนากำลังผลิตไฟฟ้าของประเทศไทย พ.ศ. 2561-2580 ฉบับปรับปรุงครั้งที่ 1 (PDP2018 Rev.1) เพื่อให้สอดคล้องกับสถานการณ์พลังงานและความต้องการใช้ไฟฟ้าของประเทศในปัจจุบัน โดยนายอรรถพลเปิดเผยเพิ่มเติมว่า เนื่องจากแผนพัฒนากำลังผลิตไฟฟ้าฉบับใหม่ (ร่างแผน PDP2024) อยู่ระหว่างการจัดทำและยังไม่แล้วเสร็จ ที่ประชุมจึงเห็นควรให้ใช้แผน PDP2018 Rev.1 เป็นกรอบดำเนินงาน พร้อมปรับปรุงกำหนด SCOD และแผนการดำเนินงานของโรงไฟฟ้าในช่วงปี 2568-2573
การปรับปรุงดังกล่าวให้เหมาะสมกับสถานการณ์ โดยเน้นรักษาความมั่นคงของระบบไฟฟ้า ป้องกันกำลังผลิตเกินจำเป็น และลดภาระค่าไฟฟ้าของประชาชนในระยะยาว โดยครอบคลุมโรงไฟฟ้า ดังต่อไปนี้ (1) โรงไฟฟ้า กฟผ. ที่ยังไม่ได้รับการอนุมัติจาก ครม. (2) โรงไฟฟ้า กฟผ. ที่ได้รับอนุมัติจาก ครม. แล้วแต่ยังไม่ COD (3) โรงไฟฟ้าที่ยังไม่ระบุผู้พัฒนา (4) โรงไฟฟ้า IPP ที่มีสัญญาแล้วแต่ยังไม่ COD (5) การรับซื้อไฟฟ้าจากต่างประเทศ และใช้ข้อมูลประกอบการจัดทำร่างแผน PDP ฉบับใหม่ต่อไป








