ดร.ขวัญนภา สุขคร ผู้อำนวยการศูนย์การศึกษาลำปาง มหาวิทยาลัยสวนดุสิต นำเสนอบทความ เรื่อง " อยู่ร่วมกันในความต่าง พลเมืองยุคดิจิทัลต้องรู้" ระบุว่า ในช่วงหลายปีที่ผ่านมา คำว่า “อากาศสะอาด” ไม่ได้เป็นเพียงคำเรียกร้องของภาคประชาชนอีกต่อไป แต่ได้กลายเป็นประเด็นนโยบายสาธารณะระดับชาติที่ทุกฝ่ายตระหนักถึงความสำคัญ ปัญหาหมอกควันและฝุ่น PM2.5 ไม่เพียงทำให้ประชาชนหายใจลำบาก แต่ยังบั่นทอนสุขภาพ เศรษฐกิจ และอนาคตของประเทศอย่างรอบด้าน โดยเฉพาะในภาคเหนือที่ต้องเผชิญวิกฤตอย่างต่อเนื่อง
การผลักดัน พระราชบัญญัติอากาศสะอาด จึงเป็นมากกว่ากรอบกฎหมาย หากแต่เป็น “สัญญาประชาคมใหม่” ที่ประกาศให้เห็นว่า อากาศสะอาดคือสิทธิขั้นพื้นฐานของประชาชนที่รัฐต้องปกป้องคุ้มครอง กฎหมายนี้กำลังอยู่ระหว่างการพิจารณาของสภาผู้แทนราษฎร โดยผ่านวาระแรกแล้ว และอยู่ในขั้นตอนการสังเคราะห์ข้อเสนอจากหลายฝ่าย ทั้งนักวิชาการ ภาคประชาสังคม และหน่วยงานรัฐ
อย่างไรก็ตาม การมีเพียงตัวบทกฎหมายอาจไม่เพียงพอ คำถามสำคัญคือ หาก พ.ร.บ. ฉบับนี้ผ่านออกมาแล้ว เราจะ “รวมพลังขับเคลื่อน” อย่างไร เพื่อไม่ให้กฎหมายเป็นเพียงเอกสารบนชั้น แต่กลายเป็น ระบบนิเวศใหม่ของการพัฒนา
อากาศสะอาด: ปัญหาเชิงระบบที่ต้องแก้ด้วยการคิดเชิงระบบ
สิ่งที่ทำให้ปัญหาหมอกควันและฝุ่นพิษแก้ไขได้ยาก คือมันไม่ใช่เพียงเรื่องของธรรมชาติหรือฤดูกาล หากแต่เป็น ปัญหาเชิงระบบ (systemic problem) ที่เชื่อมโยงในหลากหลายมิติ ตั้งแต่พฤติกรรมการใช้ไฟในวิถีเกษตร การจัดการงบประมาณและศักยภาพขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น การบังคับใช้กฎหมายในพื้นที่ชายแดน ไปจนถึงโครงสร้างแรงจูงใจทางเศรษฐกิจที่ยังไม่เอื้อต่อการลดการเผา
การมองปัญหาด้วยมุมแคบ เช่น เพิ่มเจ้าหน้าที่ดับไฟ หรือสั่งห้ามเผาโดยเด็ดขาด มักไม่เพียงพอ เพราะไม่ได้แตะถึงโครงสร้างลึกของปัญหา การมีกฎหมายอากาศสะอาดจึงเปรียบเสมือน “เข็มทิศ” ที่จะพาประเทศออกจากการแก้ปัญหาแบบเฉพาะหน้า ไปสู่การสร้างกลไกและสถาปนาระบบที่ยั่งยืน
หาก พ.ร.บ. ผ่าน: ระบบนิเวศใหม่ที่เราต้องร่วมกันสร้าง
การมี พ.ร.บ. อากาศสะอาดมิได้หมายถึงรัฐมีหน้าที่ฝ่ายเดียว แต่คือการกำหนด ความรับผิดชอบร่วม ของทุกภาคส่วน ดังนี้
1. ภาครัฐ ต้องเปลี่ยนบทบาทจากการควบคุมเชิงสั่งการ ไปสู่การเป็น “ผู้อำนวยการเชิงบูรณาการ” มี War Room ระดับชาติและจังหวัด ใช้ข้อมูลแบบเปิด และติดตามผลที่โปร่งใส
2. ท้องถิ่นและชุมชน ต้องได้รับอำนาจและทรัพยากรอย่างแท้จริงในการออกแบบแผนการจัดการพื้นที่ ไม่ใช่เพียงผู้ปฏิบัติตามนโยบายจากส่วนกลาง
3. ภาคเอกชน ต้องเข้ามามีบทบาท ไม่ใช่ในฐานะผู้ก่อมลพิษเท่านั้น แต่เป็น “ผู้ลงทุนเพื่อสิ่งแวดล้อม” ผ่านเศรษฐกิจสีเขียวและตลาดคาร์บอน
4. ประชาชน ต้องเป็นผู้เฝ้าระวัง มีสิทธิรับรู้ข้อมูล และร่วมตรวจสอบ เพื่อสร้างวัฒนธรรมใหม่ที่ไม่ยอมรับการทำลายสิทธิในอากาศสะอาด
5. นักวิชาการและภาคการศึกษา ต้องต่อยอดความรู้ งานวิจัย และนวัตกรรมเพื่อสนับสนุนการตัดสินใจเชิงนโยบายบนฐานข้อมูลที่เชื่อถือได้
บทสรุป: จากกฎหมายสู่ความยั่งยืน
พระราชบัญญัติอากาศสะอาดกำลังจะกลายเป็นกฎหมายฉบับสำคัญที่สุดฉบับหนึ่งในประวัติศาสตร์สิ่งแวดล้อมของไทย แต่สิ่งที่จะทำให้กฎหมายฉบับนี้ “มีชีวิต” ไม่ใช่เพียงตัวอักษรในกฎหมาย หากแต่คือการรวมพลังของสังคมทั้งหมดในการขับเคลื่อนให้เกิดผลจริง
การสร้าง ระบบนิเวศใหม่ของการพัฒนา หมายถึงการสร้างความสัมพันธ์ใหม่ระหว่างรัฐ ท้องถิ่น ประชาชน และเอกชน โดยมี “อากาศสะอาด” เป็นจุดร่วมที่ทุกคนได้ประโยชน์ เมื่อเราสามารถแปลงเจตนารมณ์ของกฎหมายไปสู่การปฏิบัติที่เป็นจริง ประเทศไทยจะไม่เพียงก้าวข้ามปัญหาหมอกควัน แต่ยังได้วางรากฐานของความยั่งยืนที่แท้จริง
อากาศสะอาดจึงมิใช่เพียงสิทธิ แต่คือ อนาคตร่วมกัน







