วันที่ 27 ต.ค.68 บนโซเชียลฯ ต่างแชร์ข้อความจากเฟซบุ๊ก Vitamilk Waraporn Soisean ของ น.ส.วราภรณ์ สร้อยเสน หรือหมิว ชาวอำเภอสตึก จังหวัดบุรีรัมย์ ผู้พิการร่างเล็ก ที่เคยเข้ารับพระราชทานปริญญาบัตรจากพระหัตถ์ของสมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าพัชรกิติยาภาฯ พิธีพระราชทานปริญญาบัตรแก่บัณฑิตผู้สำเร็จการศึกษาจากมหาวิทยาลัยราชภัฏบุรีรัมย์ ประจำปีการศึกษา 2560-2562 เมื่อวันที่ 21 ก.ย. 2565 หมิวได้กล่าวรำลึกถึงพระมหากรุณาธิคุณ สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง บนเฟชบุ๊กด้วยข้อความว่า
"บันทึกเด็กหญิงวราภรณ์ ที่มีความฝันอยากเป็นนักเขียนแรงบันดาลใจจากเรื่องจริงของตัวเอง พระองค์ท่านไม่เคยต้องออกสื่อหรือป่าวประกาศ เพราะพระองค์คิดเสมอประชาชนทุกหมู่เหล่า คือลูกๆ ของพระองค์
จดหมายฉบับเล็ก…ถึงพระเมตตาที่ไม่มีวันเลือน
เราเป็นเด็กพิการคนหนึ่งที่เกิดมาในครอบครัวค่อนข้างลำบากยากจน มีพ่อแม่ทำงานก่อสร้าง
แต่มีความฝันเพียงหนึ่งเดียว อยากเรียนหนังสือให้ได้ เพื่อจะได้ไม่เป็นภาระของใคร หลายคนบอกเราว่า “เพ้อฝัน” ไม่มีทางได้รับโอกาสนั้นหรอก แต่เรากลับเชื่อมั่นเสมอว่า ในหลวงรัชกาลที่ ๙ และสมเด็จพระราชินี คือกำลังใจของชีวิต
เราจึงตัดสินใจเขียนจดหมายกราบบังคมทูลถึงพระองค์ท่าน ด้วยหัวใจที่ไม่รู้เลยว่าจะมีใครได้อ่านไหม แต่เชื่อเพียงว่า ถ้าจดหมายฉบับนี้มีบุญถึงพระเนตรพระกรรณ พระองค์คงไม่ทอดทิ้งประชาชน
ไม่นานหลังจากนั้น เราได้รับจดหมายตอบกลับจาก “สำนักพระราชวัง”ลงนามโดย “สำนักราชเลขาธิการในพระองค์ สมเด็จพระบรมราชินีนาถ”เป็นจดหมายที่เปลี่ยนชีวิตทั้งชีวิตของเราพระองค์ทรงมีรับสั่งให้เราระบุได้เลยว่า “อยากเรียนที่ไหน เรียนอะไร เรียนกี่ปี”และพระราชทานทุนการศึกษาให้เราได้เรียนต่อ
ความตื้นตันใจในวันนั้นไม่มีคำใดจะบรรยายได้ มันคือวันที่เราได้รู้ว่า พระองค์ท่านทรงเห็นเราแล้วจริงๆ และนี่ก็สะท้อนให้เราเห็นชัดเจนว่าพระองค์ไม่เคยทอดทิ้งประชาชนเลย ไม่ว่าประชาชนจะเกิดมาเป็นแบบไหน หรือมีข้อจำกัดอย่างไรพระองค์ไม่เคยเลือกประชาชน แต่ทรงเมตตาทุกคนเท่าเทียมกัน
ตั้งแต่นั้นมา เราสัญญากับตัวเองว่า สิ่งเดียวที่เราจะตอบแทนพระมหากรุณาธิคุณได้ คือตั้งใจเรียนให้ดีที่สุด เรียนให้สมกับที่พระองค์ทรงให้โอกาส ไม่ขาดเรียนแม้วันที่ป่วย เว้นแต่ร่างกายไม่ไหวจริงๆ
เราส่งรายงานผลการเรียนไปยังสำนักพระราชวังทุกภาคเรียน และทุกครั้งที่มีจดหมายตอบกลับ ก็เต็มไปด้วยกำลังใจจากพระองค์ พระองค์ตรัสผ่านเจ้าหน้าที่ว่า
"ตั้งใจเรียนเท่าที่ทำได้ ไม่ต้องกดดันตัวเองมาก หากมีปัญหาหรือติดอะไรให้แจ้งได้เลยไม่ต้องกังวลหรือเกรงใจ"
ในวันที่เราป่วยจนเกรดตกเล็กน้อยเรารายงานไป และคำตอบกลับจากพระองค์ก็อ่อนโยนยิ่งนัก พระเมตตานั้นทำให้เราลุกขึ้นสู้ต่อ และผลการเรียนก็ดีขึ้นอีกครั้ง
จนกระทั่งถึงวันที่เรากำลังเรียนปีสอง ข่าวการเสด็จสวรรคตของในหลวงรัชกาลที่ ๙ มาถึง เราร้องไห้ทุกวัน ไม่อยากทำอะไรเลย เพราะในใจของเราฝันไว้เสมอว่า อยากเรียนจบด้วยเกียรตินิยมถวายแด่พระองค์ เราท้อและเศร้าเสียใจมากๆ แต่เมื่อมองดูประชาชนทั้งแผ่นดินที่ยังมี “หัวใจของพ่อ” อยู่ในใจ เราจึงฮึดขึ้นมาอีกครั้ง พร้อมกำลังใจจาก “แม่หลวง” ที่ยังคงอยู่ และในที่สุด…เราก็ทำได้จริงๆ เราจบปริญญาตรี พร้อมเกียรตินิยมอันดับสอง เราไม่รู้ด้วยซ้ำว่าได้เกียรตินิยมเพราะเราหารายชื่อไม่เจอ
ช่วงนั้นอาจจะเริ่มสายตาสั้นแล้ว แต่คนที่เห็นคือ แม่ของเรา แม่เห็นชื่อเราในใบทรานสคริปต์ แม่ร้องไห้ด้วยความภูมิใจ เพราะเราทำสำเร็จ ด้วยเกียรตินิยมอย่างที่ตั้งใจ ถวายปริญญานี้แด่พระองค์ท่าน
น.ส.วราภรณ์ สร้อยเสน เล่าว่าตนเป็นเด็กมีปมด้อยมาตั้งแต่เกิด คือพิการร่างกายแทบจะไม่มีโอกาสทางสังคมครั้งนั้นยอมรับว่าไม่มีทางออกของชีวิต อยากเรียนครอบครัวก็ยากจน
ตอนนั้นตัดสินใจเขียนจดหมายถึงพระองค์ แต่ความหวังน้อยมากเพราะมีคนยื่นไปเป็นล้านคน วันหนึ่งเห็นจดหมายมาถึงบ้าน อ่านดูพบว่ามาจากสำนักพระราชวัง ตอนนั้นตื่นเต้นจนพูดไม่ออกเพราะรู้ว่าข้างในจะต้องเป็นข่าวดีอย่างแน่นอน
เมื่อเปิดอ่านดูตอนนั้นน้ำตาไหลเพราะเนื้อความจดหมายแจ้งมาว่าอยากเรียนอะไรให้แจ้งมาทางสำนักพระราชวังจะจ่ายค่าเล่าเรียนให้ทั้งหมด ตั้งแต่ตอนนั้นเป็นต้นมาตนตั้งใจเรียนจนจบจนได้เกียรตินิยมอันดับสอง และทางเทศบาลรับเข้าทำงานทันที
ตอนนี้ตนทำงานอยู่ธนาคารออมสินสาขา อ.สตึก กลายเป็นเสาหลักของครอบครัวไปแล้ว ทั้งหมดเกิดจากพระมหากรุณาธิคุณของพระองค์ทั้งสิ้น หลังจากนี้จะภาวนาตนให้เป็นคนดีและสำนึกบุญคุณของพระองค์ตลอดไป
ขณะที่นางโสภี สร้อยเสน อายุ 53 ปี แม่น้องหมิวเล่าว่า ตั้งแต่น้องได้รับทุนเรียนลูกสาวนับถือพระองค์มาโดยตลอด เป็นเด็กดีของพ่อแม่ เป็นเด็กดีของประเทศชาติ ยอมรับว่าลูกสาวสู้เรียนเพื่อเอาเกียรตินิยมไปฝากพระองค์ท่าน หลังจากทราบข่าวพระองค์สวรรคต ลูกสาวนั่งร้ำไห้แล้วเขียนบรรยายดังกล่าว
#ภูมิภาค-55








