ข่าวคุณภาพชีวิต

"พ.ต.อ.ทวี" เร่งผลักดัน พรบ.นิรโทษกรรมที่ดิน คุ้มครองสิทธิชุมชน ปลดแอกประชาชนผู้ยากไร้พ้นคดีป่าไม้ ที่ดินไม่เป็นธรรม

แชร์ข่าว

เมื่อวันที่ 27 ต.ค.68 พ.ต.อ.ทวี สอดส่อง หัวหน้าพรรคประชาชาติ โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊ก "Tawee Sodsong - พันตำรวจเอก ทวี สอดส่อง" ระบุว่า ร่าง พ.ร.บ.นิรโทษกรรมแก่ราษฎร ซึ่งได้รับความเสียหายหรือได้รับผลกระทบจากการดำเนินการตามนโยบายของรัฐด้านที่ดินและทรัพยากรธรรมชาติ…เป้าประสงค์ คุ้มครอง “สิทธิชุมชน” ตามรัฐธรรมนูญ

จากการที่ได้เข้ามารับหน้าที่ประธานคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาร่างกฎหมายดังกล่าว ที่ได้ประชุมกันอย่างต่อเนื่องมาจนถึงในขณะนี้ นับเป็นการประชุมครั้งที่ 7 และมีแผนที่จะประชุมครั้งที่ 8 ในวันอังคารที่ 28 ตุลาคม 2568 เวลา 13.30 น. และครั้งที่ 9 วันพุธที่ 29 ตุลาคม 2568 เวลา 09.30 - 16.30 น. ก่อนที่จะปิดสมัยประชุมของรัฐสภา

โดยในช่วงปิดสมัยประชุมของรัฐสภา ระหว่างวันที่ 30 ตุลาคม - 12 ธันวาคม 2568 คณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาร่างมีแผนที่จะนัดประชุมรับฟังความเห็นเพิ่มเพื่อให้ร่างกฎหมายฉบับนี้สามารถอำนวยความยุติธรรมได้สูงสุด เกิดประโยชน์ต่อประเทศชาติและความผาสุกของประชาชนโดยรวม ซึ่งคณะกรรมาธิการฯ คาดหวังเป็นอย่างยิ่งว่าจะสามารถเสนอร่างกฎหมายนี้ต่อสภาผู้แทนราษฎรในวาระ 2 และวาระ 3 ในวันที่ 12 ธันวาคม 2568 ที่จะเปิดสมัยประชุมสภาผู้แทนราษฎร (สามัญประจำปีครั้งที่ 2)

ต้องขอยืนยันใน “หลักการ” ให้มีกฎหมายว่าด้วยการนิรโทษกรรมและล้างมลทินแก่ราษฎรอันเนื่องมาจากการได้รับความเสียหายหรือได้รับผลกระทบจากการดำเนินการตามกฎหมายและนโยบายของรัฐด้านป่าไม้และที่ดิน ตาม “เหตุผล” เนื่องจากมีประชาชนได้รับความเสียหายหรือได้รับผลกระทบจากการดำเนินการตามกฎหมายและนโยบายของรัฐด้านป่าไม้และที่ดิน อันเกี่ยวข้องกับกรณีประกาศเขตพื้นที่ของรัฐทับที่ทำกินของประชาชน ทั้งที่ประชาชนเหล่านี้เป็นผู้อยู่อาศัยทำกินมาก่อนการประกาศเขตพื้นที่ของรัฐ ส่งผลให้ประชาชนต้องกลายเป็นผู้ฝ่าฝืนกฎหมายที่มาประกาศทับซ้อนภายหลังอย่างไม่เป็นธรรม ส่วนผู้เป็นนายทุน ผู้กระทำผิดกฎหมายทุกชนิด หรือผู้ที่ได้ครอบครองที่ดินที่ได้ร่วมมือกับเจ้าหน้าที่รัฐในการออกเอกสารสิทธิโดยมิชอบและถูกดำเนินคดีบุกรุก จะต้องไม่ได้รับประโยชน์จากการนิรโทษกรรมและล้างมลทินจากกฎหมายฉบับนี้โดยเด็ดขาด

ตามร่างกฎหมายที่สภาผู้แทนราษฎรผ่านวาระ 1 จำนวน 2 ร่าง และได้ตั้งคณะกรรมาธิการฯ นั้น ผู้ที่ได้รับนิรโทษกรรมและล้างมลทิน คือ ผู้เสียหายและผู้ได้รับผลกระทบจากความผิดพลาดในนโยบายรัฐและถูกดำเนินคดีใน 3 กลุ่ม ได้แก่

• กลุ่มที่ 1 ผู้ที่ได้ครอบครองและทำประโยชน์ในที่ดินภายหลังวันที่ประกาศเป็นพื้นที่สงวนหวงห้ามตามกฎหมายครั้งแรก แต่ได้รับการผ่อนผันตามมาตรการของมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 30 มิถุนายน พ.ศ. 2541 เรื่อง การแก้ไขปัญหาที่ดินในพื้นที่ป่าไม้ และมิได้มีการฝ่าฝืนหรือกระทำผิดหลักเกณฑ์ตามมาตรการดังกล่าว

เนื้อหาของมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 30 มิถุนายน พ.ศ. 2541 คือ การเห็นชอบในหลักการมาตรการและแนวทางการแก้ไขปัญหาที่ดินของราษฎรในพื้นที่ป่าไม้ ซึ่งรวมถึงการดำเนินการตรวจสอบราษฎรที่อยู่อาศัยและทำกินในพื้นที่ป่าสงวนแห่งชาติ และการกำหนดมาตรการจัดการที่ดินตามกลุ่มชั้นลุ่มน้ำ โดยมีเป้าหมายเพื่อให้ราษฎรและป่าสามารถอยู่ร่วมกันได้อย่างเหมาะสม

โดยได้มอบหมายการดำเนินการตรวจสอบและจำแนกพื้นที่ไปให้กรมป่าไม้ และให้ประสานงานกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เช่น กรมที่ดิน และกรมธนารักษ์ เพื่อตรวจสอบรายละเอียดของราษฎรที่อาศัยและทำกินในพื้นที่ป่าสงวนแห่งชาติ และจำแนกพื้นที่ให้ชัดเจนด้านการพิสูจน์สิทธิ ถือว่าเป็นการเริ่มต้นกระบวนการพิสูจน์สิทธิการครอบครองที่ดินในพื้นที่ป่า อาทิ การสำรวจที่อยู่อาศัยและที่ทำกินของประชาชนประมาณ 4.7 ล้านไร่

ผลกระทบของมติ ครม. นี้ ถือเป็นพื้นฐานหลักที่สำคัญในการจัดการปัญหาที่ดินในเขตป่ามาอย่างต่อเนื่อง แต่เพราะที่ผ่านมาการดำเนินการรังวัด สำรวจ และจัดทำแผนที่แนวเขตที่ดินของรัฐโดยเฉพาะอย่างยิ่งพื้นที่ป่าสงวนแห่งชาติและพื้นที่ป่าอนุรักษ์นั้น มิได้ดำเนินการอย่างจริงจัง ทำให้เกิดสภาพของการผ่อนผันให้อยู่อาศัยและทำกินมาโดยตลอด ส่งผลกระทบต่อทั้งหน่วยงานรัฐและราษฎรที่อาศัยในพื้นที่ป่า เกิดเป็นกรณีที่เจ้าหน้าที่รัฐดำเนินคดีราษฎรที่แม้จะอยู่อาศัยตามการสำรวจตามมติ ครม. ซึ่งเป็นเพียงกฎหมายฝ่ายบริหาร เมื่อคดีเหล่านั้นเข้าสู่กระบวนการของศาล ประชาชนจึงต้องตกอยู่ในสถานะผิดกฎหมายตามสถานะที่ดินที่รัฐประกาศเขตป่าทับไว้ แต่ยังไม่ถูกแก้ไขอย่างเป็นรูปธรรมในระดับกฎหมาย จึงส่งผลให้ถูกดำเนินคดีและกลายเป็นผู้ถูกพิพากษาติดคุก ปรับและขับไล่ออกจากพื้นที่จำนวนมาก ซึ่งเป็นสิ่งที่ไม่เป็นธรรม

• กลุ่มที่ 2

ผู้ที่ได้รับผลกระทบจาก “นโยบายทวงคืนผืนป่า” โดยเป็นผู้ที่ได้ครอบครองและทำประโยชน์ในที่ดินภายหลังวันที่ประกาศเป็นพื้นที่สงวนหวงห้ามตามกฎหมายครั้งแรก ก่อนที่จะได้รับการคุ้มครองตามคำสั่งคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ที่ 66/2557 ลงวันที่ 17 มิถุนายน พ.ศ. 2557 ที่มุ่งคุ้มครองผู้ยากไร้ไม่ให้ได้รับผลกระทบจากนโยบายปราบปรามนายทุน แต่เจ้าหน้าที่กลับไม่นำนโยบายดังกล่าวมาปฏิบัติอย่างเป็นธรรม ทำให้คนจนผู้ยากไร้ถูกแจ้งความดำเนินคดีในลักษณะคดีมวลชน (จำนวนมาก) ตีความการกระทำว่าเป็นนายทุนเนื่องจากเจ้าหน้าที่ได้รวมแปลงให้มีพื้นที่จำนวนมากแล้วจึงแจ้งความจับกุมดำเนินคดี ทำให้มีผู้ได้รับความเสียหายจำนวนมาก และยังไม่ได้รับความเป็นธรรมมาจนถึงปัจจุบัน ถือเป็นกลุ่มเป้าหมายหนึ่งที่สำคัญที่จะต้องออกกฎหมายนิรโทษกรรมนี้ เพื่อให้การคุ้มครองช่วยเหลือแก่ราษฎร

ตัวอย่างความเดือดร้อนของราษฎรกลุ่มนี้ มีคดีความที่เกิดขึ้นระหว่างปี พ.ศ. 2557 - 2562 ที่เป็นผลมาจากนโยบายทวงคืนผืนป่า ทำให้เกิดคดีทวงคืนผืนป่าสูงถึง 30,508 คดี มีคนถูกจับกุม จำนวน 6,824 ราย แต่จากผู้ถูกจับกุมทั้งหมดนั้น เมื่อจำแนกแยกย่อยจะพบเป็นกลุ่มนายทุนเพียง 20% หรือ 1,365 ราย ที่เหลืออีก 80% หรืออีก 5,459 รายเป็นชาวบ้าน ที่ ณ ขณะนั้นไม่ได้มีกระบวนการตรวจสอบถ่วงดุลอย่างปกติ เป็นต้น

• กลุ่มที่ 3

ประชาชนได้รับความเสียหายหรือได้รับผลกระทบจากการดำเนินการกรณีรัฐประกาศเขตพื้นที่ของรัฐทับที่ทำกินของประชาชน ทั้งที่ประชาชนอยู่มาก่อน ทำให้ประชาชนที่อยู่ในพื้นที่นั้นกลายเป็นผู้ฝ่าฝืนกฎหมายไป หรือกลุ่มคืนสิทธิ คืนสถานะให้กับผู้ที่ได้ครอบครองและทำประโยชน์ในที่ดินก่อนวันที่ประกาศเป็นพื้นที่สงวนหวงห้ามตามกฎหมายครั้งแรก เพื่อให้สามารถเข้าสู่กระบวนการพิสูจน์และขอรับสิทธิในที่ดินตามกฎหมายหรือนโยบายภาครัฐที่มีอยู่ในปัจจุบัน

หากพิจารณาระบบการบริหารจัดการป่าของประเทศไทยตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน พบข้อเท็จจริงที่สำคัญว่า เราไม่สามารถเพิ่มพื้นที่ป่าและประสิทธิภาพการจัดการป่าได้ หากภาครัฐยังปิดกั้นการมีส่วนร่วมของประชาชนหรือเป็นผู้ผลักให้ชุมชนที่อาศัยอยู่กับป่าต้องสุ่มเสี่ยงกับนโยบายและกฎหมายที่ไม่เป็นธรรม

ประเทศไทยมีพื้นที่เขตป่าไม้ตามที่กฎหมายบัญญัติไว้ สูงถึง 135.41 ล้านไร่ แต่มีสภาพป่าไม้จริงเหลืออยู่เพียง 101.78 ล้านไร่ หรือ 31.46% ของพื้นที่ประเทศไทย

ยกตัวอย่างให้เห็นภาพชัดเจน เช่น พื้นที่ป่าสงวนแห่งชาติ 1,221 แห่ง มีพื้นที่รวม 58.69 ล้านไร่ แต่มีพื้นที่ที่มีต้นไม้ปกคลุมเพียง 32.51 ล้านไร่ หรือพื้นที่อุทยานแห่งชาติ มีพื้นที่รวม 41.06 ล้านไร่ แต่มีพื้นที่ที่มีต้นไม้ปกคลุมเพียง 33.97 ล้านไร่ เป็นต้น

คณะกรรมาธิการฯ ตระหนักดีถึงเป้าหมายของการมีพื้นที่ป่า 40% ของพื้นที่ประเทศ ตามยุทธศาสตร์ชาติที่กำหนดไว้ ซึ่งเรายังต้องเพิ่มพื้นที่ป่าอีกถึง 27.6 ล้านไร่ ภาคประชาชนเป็นกำลังสำคัญที่จะช่วยเพิ่มพื้นที่ป่าบนพื้นที่ดินตนเองเพื่อเป้าหมายการมีสภาพแวดล้อมที่ดีส่งต่อคุณภาพชีวิตที่ดีสู่คนรุ่นต่อ ๆ ไป

ทุกท่านคงตระหนักดีว่า ขณะนี้ประเทศไทยกำลังเผชิญวิกฤตความเหลื่อมล้ำด้านการถือครองที่ดินอย่างรุนแรงระดับโลก ที่ดินในส่วนเอกชนจากข้อมูลเอกสารสิทธิโฉนดที่ดินจากกรมที่ดินระบุว่า 99% ของเอกสารสิทธิที่ประชาชนทั่วไปถือครองอยู่นั้น มีพื้นที่ไม่ถึง 50 ไร่ หรือเฉลี่ยเพียงแค่รายละ 2-6 ไร่ ส่วนกลุ่มผู้ที่ถือครองที่ดินมากกว่า 200 ไร่นั้น มีจำนวนไม่ถึง 1% แต่กลับครอบครองพื้นที่รวมกันมากกว่าประชาชนส่วนใหญ่ของประเทศ ทั้งนี้กลุ่มผู้ถือครองที่ดินเกิน 1,000 ไร่ มีอยู่เพียง 130 ราย โดยถือครองที่ดินรวมกว่า 2 ล้านไร่

ในขณะที่ที่ดินส่วนใหญ่เป็นที่ดินของรัฐที่ประชาชนอาศัยอยู่ และหลายชุมชนอยู่มาก่อนรัฐ สืบทอดการทำกินมาหลายชั่วอายุคนแต่เมื่อรัฐประกาศเขตป่า ประชาชนกลับกลายเป็นผู้บุกรุกในบ้านเกิดตนเอง คณะกรรมาธิการฯ มีเป้าหมายที่จะให้เกิดกระบวนการพิสูจน์สิทธิให้แก่ประชาชนที่อยู่ทำกินและอาศัยมาก่อนการประกาศเป็นที่ดินของรัฐอย่างแท้จริง โดยจะกำหนดให้มีหน่วยงานที่รับผิดชอบที่ชัดเจน มีขั้นตอนการพิสูจน์สิทธิที่ดินที่เป็นธรรม โปร่งใส มีมาตรฐาน เป็นที่ยอมรับของทุกฝ่าย จะให้มีการกำหนดระยะเวลาการตรวจสอบที่เหมาะสมไม่ล่าช้าเหมือนที่เกิดขึ้นในปัจจุบัน เปิดโอกาสให้ประชาชนที่เป็นเจ้าของที่ดินเดิม ผู้ยากไร้สามารถแสดงหลักฐานได้อย่างเต็มที่ โดยมิให้หน้าที่ของการเข้าถึงข้อมูลประกอบการพิสูจน์สิทธิเป็นค่าใช้จ่ายของประชาชน

ดังนั้น ร่าง พ.ร.บ.ฉบับนี้ จึงถือได้ว่าเป็นกฎหมายสำคัญที่จะรับรองหลักการของ “ชุมชนท้องถิ่นดั้งเดิม” หรือสิทธิในการดูแลจัดการ “ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม” ซึ่งเป็นระบบสิทธิชุมชนตามที่รัฐธรรมนูญได้รับรองไว้ให้เกิดขึ้นจริงนั่นเองครับ

#ยุติธรรมประชาชนเป็นศูนย์กลาง #ทวีสอดส่อง

ข่าวแนะนำ

แชร์ข่าว