หลัง “อนุทิน ชาญวีรกูล” นายกรัฐมนตรี ประกาศว่าจะมีการยุบสภาช่วงเดือน ม.ค. 69 และขอเวลา 4 เดือน ก่อนที่คืนอำนาจให้ประชาชนใช้สิทธิ์เลือก สส. ที่ไว้วางใจมาทำงาน แต่ ณ วันนี้ “พรรคภูมิใจไทย” เป็นแกนนำรัฐบาล
เมื่อย้อนไปดูนโยบายของพรรคภูมิใจไทยที่ใช้หาเสียงเมื่อปี 2566 ภายใต้แคมเปญ "พูดแล้วทำ" ด้านเศรษฐกิจ เช่น พักหนี้ 3 ปี หยุดต้น ปลอดดอก คนละไม่เกิน 1 ล้านบาท เงินกู้ฉุกเฉิน 50,000 บาท ไม่ต้องมีหลักทรัพย์ค้ำประกัน เกษตรร่ำรวย รู้ราคาก่อนปลูก รับเงินก่อนขาย เสียหายมีประกัน
ด้านสาธารณสุขและคุณภาพชีวิต เพิ่มค่าตอบแทนอาสาสมัครสาธารณสุขประจำหมู่บ้าน (อสม.) เป็น 2,000 บาทต่อเดือน พร้อมประกันสุขภาพ ติดตั้งเครื่องกรองน้ำทุกหมู่บ้าน เพื่อให้น้ำดื่มสะอาด ฟรีกองทุนประกันชีวิต สำหรับผู้ที่มีอายุ 60 ปีขึ้นไป
ด้านคมนาคมและโครงสร้างพื้นฐาน แลนด์บริดจ์ อ่าวไทย-อันดามัน ระบบรถเมล์ไฟฟ้า ลด PM2.5 ค่าโดยสารเริ่มต้น 10 บาท สูงสุด 40 บาท นโยบายพลังงานสะอาด เช่น การส่งเสริมการติดตั้งโซลาร์เซลล์ เพื่อลดค่าใช้จ่ายประชาชน
ด้านการศึกษาและการท่องเที่ยว เรียนฟรีถึงปริญญาตรี ในสาขาที่ตลาดต้องการนโยบายพัฒนาอุตสาหกรรมท่องเที่ยวไทย (เช่น การสร้างความมั่นคงในอาชีพท่องเที่ยว, กองทุนท่องเที่ยว) และนโยบายเกี่ยวกับกัญชา (เพื่อการแพทย์และสุขภาพ)
โดยวันนี้พรรคภูมิใจไทย ได้มีการเพิ่มค่าตอบแทนให้กับ อสม. เป็น 2,000 บาทต่อเดือน มีการพักหนี้ให้กับเกษตรกรที่เป็นลูกหนี้รายย่อย การเดินหน้าโครงการแลนด์บริดจ์ และนโยบายสำคัญที่ อนุทิน จะพูดทุกครั้งเมื่อไปลงพื้นที่คือฟอกไตฟรีทุกอำเภอ และการแก้ไขรัฐธรรมที่ร่างจะเป็นของพรรคประชาชน แต่พรรคภูมิใจไทยก็เคลมได้ว่า เป็นเพราะตัวเอง ในฐานะหัวหน้ารัฐบาลช่วยผลักดัน ยังไม่นับรวมการลงพื้นที่ถี่ๆ ออกหน้าสื่อทุกวัน
รวมถึงการนำโครงการ “คนละครึ่ง” ในยุค “พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา” มาปัดฝุ่นมาทำซ้ำในชื่อโครงการ “คนละครึ่งพลัส” เพื่อเป็นมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ เพิ่มกำลังซื้อและลดภาระค่าครองชีพของประชาชน โดยแบ่งเป็นประชาชนทั่วไปได้รับสิทธิ ใช้จ่าย 2,000 บาทต่อคนตลอดโครงการ ส่วนประชาชนผู้ยื่นภาษี จะได้รับสิทธิ์ใช้จ่าย 2,400 บาทต่อคนต่อโครงการ โดยรัฐ ช่วยจ่ายสมทบ 50% ของยอดจ่ายสูงสุด ไม่เกิน 200 บาทต่อคนต่อวัน ซึ่งได้เปิดให้ประชาชนลงทะเบียนครบเต็มจำนวน โดยจะเริ่มใช้สิทธิตั้งแต่วันที่ 29 ต.ค.ถึงวันที่ 31 ธ.ค. 68
ถึงวันนี้ผลตอบรับลงทะเบียนคนละครึ่งพลัส มีคนให้ความสนใจเป็นจำนวนมาก แต่ล่าสุดเมื่อวันที่ 26 ต.ค. สวนดุสิตโพล สำรวจความคิดเห็นประชาชน เรื่อง “คนไทยกับนโยบายลดค่าครองชีพ” พบว่า กลุ่มตัวอย่างเข้าร่วมโครงการคนละครึ่ง ร้อยละ 76.43 ส่วนโครงการคนละครึ่งพลัส ร้อยละ 42.16
และจากผลโพลพบว่า ประชาชนชอบโครงการคนละครึ่ง ร้อยละ 69.31 อันดับสอง เงิน 10,000 รัฐบาลพรรคเพื่อไทย ร้อยละ 33.03 ส่วนโครงการคนละครึ่งพลัส เป็นอันดับสาม ร้อยละ 30.77
แม้ผลโพล โครงการคนละครึ่งพลัสจะไม่ได้ที่ 1 แต่ก็ถือว่าพรรคภูมิใจมีแต้มต่อกว่าพรรคอื่นๆ ที่ใช้ช่วงนี้เข้าหาประชาชน โปรยนโยบาย ทุ่มเงินโดยใช้งบประมาณไปในพื้นที่ต่างๆ ถือได้ว่าพรรคภูมิใจไทยนำไป 1 ก้าวแล้ว !








