“จักรภพ” เผย 2 เหตุการณ์ในวันประวัติศาสตร์ของไทย ส่งเสด็จ พระบรมศพพระพันปีหลวง สมพระเกียรติท่ามกลางความอาลัยทั้งแผ่นดิน พร้อมเดินหน้าสันติภาพชายแดน ร่วมลงนามหยุดยิงไทย–กัมพูชา
เมื่อวันที่ 27 ตุลาคม 2568 นายจักรภพ เพ็ญแข อดีตรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า การส่งเสด็จพระราชดำเนินถวายพระเกียรติแด่ สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง ซึ่งคนไทยทั้งประเทศกำลังน้อมเกล้า น้อมกระหม่อมถวาย โดยทุกฝ่ายเตรียมการอย่างสุดความสามารถ เพื่อให้สมพระเกียรติและเรียบร้อยบริบูรณ์ทุกประการ แม้ปวงชนชาวไทยจะอยู่ในความโศกเศร้าและตระหนกเสียใจต่อการเสด็จสวรรคต แต่ยังคงสนองพระบรมราชโองการและพระบรมราชวินิจฉัยที่มีมาแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน คือการตั้งสติในยามวิกฤติ และปฏิบัติทุกอย่างให้ถูกต้องตามประเพณีการปกครองของราชอาณาจักรไทย
นายจักรภพกล่าวถึงอีกเหตุการณ์สำคัญที่เกิดขึ้นในวันเดียวกัน ถือเป็นอีกหนึ่งประวัติศาสตร์ คือ การลงนามข้อตกลงหยุดยิงระหว่างไทยกับกัมพูชา ที่กรุงกัวลาลัมเปอร์ ประเทศมาเลเซีย โดยมีนายอันวาร์ อิบราฮิม นายกรัฐมนตรีมาเลเซีย ทำหน้าที่เจ้าภาพ และนายโดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกา ทำหน้าที่สักขีพยาน ทั้งนี้ หลายคนยังสับสนต่อที่มาและบริบทของข้อตกลงดังกล่าว จึงขอชี้แจงว่า แม้มาเลเซียเป็นผู้ประสานงาน และสหรัฐอเมริกาเป็นสักขีพยาน แต่กระบวนการทั้งหมดคือความพยายามร่วมกันของรัฐบาลไทยและกัมพูชาโดยตรง ไม่ใช่การเจรจาที่มีต่างประเทศเข้ามาเป็นคู่ภาคี การพูดคุยทั้งหมดตั้งอยู่บนพื้นฐานของความสามารถของทั้งสองประเทศในการคลี่คลายสถานการณ์ แม้สาธารณชนไทยจะรู้สึกขมขื่นกับกรณีที่กัมพูชาโจมตีเป้าหมายพลเรือนไทย แต่ไทยยังสามารถผลักดันให้เกิดข้อตกลงขั้นต้นเพื่อยุติเหตุปะทะ
อดีตรัฐมนตรีประจำสำนักนายกฯ ย้ำว่า ประเทศไทยยืนหยัดในหลักการมาตั้งแต่รัฐบาลที่แล้วว่า การแก้ไขปัญหาชายแดนต้องอยู่ในกรอบสองฝ่าย ไม่ขยายเป็นกรอบอาเซียนหรือเวทีระหว่างประเทศตามที่กัมพูชาต้องการ ซึ่งประเทศไทยยังคงรักษาจุดยืนนี้ได้จนถึงวันนี้ เวทีเจรจาที่เกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง แม้บางครั้งสำเร็จบ้าง ไม่สำเร็จบ้าง แต่ก็ล้วนเกิดจากกลไกที่กำหนดไว้ในบันทึกความเข้าใจ (MOU) ปี 2543 และปี 2544 ซึ่งเป็นเพียงเครื่องมือกำหนดแนวทางการหารือในกรณีมีข้อพิพาท โดยไม่ได้ระบุว่าใครจะได้หรือเสียพื้นที่ใด
นายจักรภพกล่าวด้วยว่า การเรียกร้องให้ยกเลิก MOU ทั้งสองฉบับเป็นเรื่องที่เปรียบเหมือน “ชี้ช้างจับตั๊กแตน” เพราะในข้อตกลงยังมีข้อดีที่เป็นประโยชน์กับไทยจำนวนมาก หากมีข้อที่ไม่สบายใจก็สามารถแยกเจรจาเฉพาะข้อได้ เช่น เรื่องแผนที่ หรือการใช้เทคโนโลยีใหม่ เช่น เรดาร์ โดรน เพื่อทำให้พรมแดนมีความแม่นยำยิ่งขึ้นตามยุคสมัย โดยไม่จำเป็นต้องลบข้อดีอื่นทิ้งทั้งหมด
อย่างไรก็ตาม นายจักรภพ กล่าวว่า แม้ในระหว่างการแถลงข่าวร่วมของทั้ง 4 ประเทศ นายกรัฐมนตรีฮุน มาเน็ต ของกัมพูชา กล่าวเสนอให้นายโดนัลด์ ทรัมป์ ได้รับการเสนอชื่อเป็นผู้ได้รับรางวัลโนเบลสาขาสันติภาพ แสดงท่าทีตอบสนองผลประโยชน์สหรัฐ ขณะที่ นายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรีไทย ได้แถลงอย่างกระชับและชัดเจนว่า ไทยยืนบนข้อตกลงใดบ้างและเพื่อประโยชน์ของประชาชนไทยอย่างไร
“การลงนามครั้งนี้ยังไม่ใช่สนธิสัญญาสันติภาพ จึงไม่จำเป็นต้องผ่านรัฐสภา เพราะเป็นเพียงข้อตกลงฝ่ายบริหารเพื่อหยุดยิงของฝ่ายทหารเท่านั้น จุดมุ่งหมายคือเพื่อให้ประชาชนที่อพยพออกจากพื้นที่สู้รบสามารถกลับคืนถิ่นฐาน และคลายกังวลไม่ให้สถานการณ์บานปลายกลายเป็นสงครามรุนแรง และนี่คือความสำเร็จที่ทั้งสองประเทศต้องให้คุณค่าต่อกัน แม้จะมีรอยบาดลึกในวันนี้ แต่ท้ายที่สุดก็ต้องกลับมาพึ่งพาและคบหากัน เพราะมีพรมแดนร่วมกันกว่า 800 กิโลเมตร จะเป็นศัตรูกันตลอดไปย่อมเป็นไปไม่ได้” นายจักรภพ กล่าว พร้อมกับย้ำว่า แม้ประเทศไทยกำลังอยู่ในห้วงเวลาแห่งความโศกเศร้าทั้งชาติ แต่คนไทยต้องตั้งสติให้สมกับสถานะของราชอาณาจักรที่ผ่านร้อนผ่านหนาวมามากมาย และยังคงเป็นแบบอย่างแก่โลกในการ “พลิกวิกฤตเป็นโอกาส” ได้อย่างสง่างาม








