ทวี สุรฤทธิกุล
การเมืองไทยมุ่งมองไปที่คนรุ่นใหม่มากจนเกินไปหรือไม่ ? แล้วกระแสการเมืองของคนรุ่นใหม่นี้คืออะไร ? ถ้ามีเลือกตั้งใหม่พวกเขาจะเลือก “ลงคะแนน” อย่างไร ?
ผู้เขียนอายุ 60 เศษ มีประสบการณ์การเลือกตั้งครั้งแรกเมื่อ พ.ศ. 2522 และได้ไปกาบัตรในการเลือกตั้งมาทุกครั้งไม่เคยขาด นับถึงครั้งล่าสุดเมื่อปี 2566 ก็รวม 16 ครั้ง หลังการเลือกตั้ง พ.ศ. 2566 นั่นเอง ได้จัดกลุ่มสนทนาในห้องเรียนของนักศึกษากลุ่มหนึ่ง ส่วนใหญ่มีอายุ 30 ต้น ๆ (มหาวิทยาลัยของผู้เขียนเป็นมหาวิทยาลัยเปิด รับนักศึกษาไม่จำกัดอายุ) ซึ่งคนกลุ่มนี้เพิ่งจะมีประสบการณ์การเลือกตั้งมาคนละ 1 - 3 ครั้ง โดยได้ตั้งคำถามในการสนทนาว่า “กระแสกับกระสุน อะไรมีประสิทธิภาพมากกว่าในการเลือกตั้งของประเทศไทย” น่าแปลกใจมากที่คนเหล่านี้ทุกคนตอบว่า “กระแส” อันเป็นเรื่องที่ผู้เขียนนำมาวิเคราะห์ในบทความวันนี้ ด้วยความสนใจว่า “เป็นคำตอบที่ถูกต้องหรือเป็นจริงหรือไม่?”
ในข้อมูลเชิงประสบการณ์ที่ผู้เขียนมี(มา 16 ครั้ง) ก็ตอบตรงกันกับพวกคนรุ่นใหม่กลุ่มนี้เช่นกัน แม้ข้อมูลในเชิงวิชาการหรือในทางประวัติศาสตร์ของการเมืองไทยจะบอกว่า “กระสุน” คือสิ่งที่ทำให้นักการเมืองประสบความสำเร็จในการเลือกตั้งมาโดยตลอด ซึ่งก็เป็นความจริงว่าในการเลือกตั้งทุกครั้งที่ผ่านมา มีการใช้เงินในการเลือกตั้งมากขึ้นเรื่อย ๆ โดยเฉพาะค่าซื้อเสียงต่อหัวที่เพิ่มมากขึ้นในทุกครั้ง (เมื่อ พ.ศ. 2522 ประมาณ 50 - 100 บาท ต่อหัว ล่าสุดเมื่อ พ.ศ. 2566 ประมาณ 1,000 - 3,000 บาท !)
แต่อย่าลืมว่า ในช่วง พ.ศ. 2522 - 2531 พรรคกิจสังคมได้ ส.ส.เข้ามาเป็นจำนวนมาก โดยใช้เงินน้อยกว่าพรรคที่ใช้เงินอื่น ๆ (พรรคกิจสังคมก็ใช้เงินเช่นกันแต่เป็นบางคน โดยเฉพาะในต่างจังหวัดเป็นส่วนใหญ่) หรือชัยชนะของพรรคประชากรไทยใน พ.ศ. 2522 ที่กวาดที่นั่งในกรุงเทพฯเกือบหมด( 29 ที่นั่ง จาก ส.ส.กรุงเทพฯทั้งหมด 32 ที่นั่ง เหลือไว้ให้พรรคกิจสังคมเพียง 2 ที่ คือ ม.ร.ว.คึกฤทธิ์ ปราโมช กับ ดร.เกษม ศิริสัมพันธ์ และพรรคประชาธิปัตย์ 1 ที่นั่ง คือ พันเอกถนัด คอมันตร์ เท่านั้น) หรือชัยชนะอย่างเหนือความคาดคิดของพรรคพลังธรรม ใน พ.ศ. 2538 ก็เป็นด้วย “ภาพคนดี” ของพลตรีจำลอง ศรีเมือง รวมถึงกระแสความ “ฮือฮา” ของพรรคไทยรักไทย ที่มีผู้นำ “ตาดูดาวเท้าติดดิน” ใน พ.ศ. 2544 และชัยชนะอย่างถล่มทลายของพรรคนี้ที่ได้ ส.ส.เกือบ 80 เปอร์เซ็นต์ของสภา ใน พ.ศ. 2548 แน่นอนว่าแม้จะยังมีการใช้เงินซื้อเสียงเป็นจำนวนมาก แต่กระแสที่เกิดจากการใช้นโยบายประชานิยมต่าง ๆ ของพรรคการเมืองพรรคนี้ ก็ทำให้พรรคไทยรักไทยใช้เงินน้อยกว่าพรรคอื่น ๆ
ต่อมาในการเลือกตั้ง พ.ศ. 2562 พรรคการเมือง “แนวใหม่” ที่ชื่อพรรคอนาคตใหม่ ก็ได้ ส.ส. เข้ามา 81 คน เป็น ส.ส.ในระบบเขต 31 คน แต่ในระบบบัญชีรายชื่อได้มาถึง 50 คน นี่ก็คือ “กระแส” ของคนรุ่นใหม่นั่นเอง แม้ว่าพรรคนี้จะถูกยุบพรรคในเวลาต่อมา แต่พอมีเลือกตั้งใหม่เมื่อครั้งล่าสุด พ.ศ. 2566 ในชื่อพรรคก้าวไกล ก็ยังได้ ส.ส.มาเป็นจำนวนมากถึง 151 คน เป็นอันดับที่ 1 ของสภาชุดนี้ !
ผู้เขียนถามนักศึกษากลุ่มเดิมด้วยคำถามต่อไปว่า “กระแสคนรุ่นใหม่ที่ทำให้พรรคอนาคตใหม่และพรรคก้าวไกลชนะเลือกตั้งได้ ส.ส.เป็นจำนวนมาก ที่ว่าเป็นกระแสของคนรุ่นใหม่ เป็น กระแสสร้าง หรือ กระแสโดยบังเอิญ” คำตอบที่ได้ออกมาก้ำกึ่งกัน นักศึกษาจึงย้อนถามผู้เขียนว่า “แล้วอาจารย์คิดว่าอย่างไหนกัน” ซึ่งผู้เขียนก็ตอบไปว่า “กระแสโดยบังเอิญ” โดยมีเหตุผลอธิบายประกอบดังนี้
ในยุคดิจิทัล การสร้างกระแสนั้นทำได้ง่าย เพราะมีเทคโนโลยีต่าง ๆ ให้เลือกมากมาย เพียงแต่เราใช้เป็นและรู้จักใช้อย่างตรงเป้าหมาย ก็สามารถสร้างกระแสได้ไม่ยาก ซึ่งการสร้างกระแสนี้ ถ้ามีเงินก็สามารถไปจ้างมืออาชีพเข้ามาทำให้ด้วยก็ยิ่งดี แต่เทคโนโลยีการสื่อสารยุคดิจิทัลนี้กลับช่วยส่งเสริมโดยไม่ต้องลงทุนมาก เนื่องจากการการเมืองเป็นเรื่องของ “การสร้างความเชื่อร่วมกัน” อยู่โดยธรรมชาติอยู่แล้ว เมื่อมีคนจุดกระแสเริ่มต้น ก็จะมีผู้ติดตามหรือ “เชื่อต่อ ๆ กันไป” ทำให้เกิดความเชื่อแบบเดียวกันออกไปในทางกว้าง ที่เรียกว่า “ไวรัล” ทำให้กระแสบางกระแสเป็นสิ่งที่ไม่ต้องลงทุนมาก เพียงแต่เลือกสร้าง “คอนเท้นต์” หรือเนื้อหาให้ตรงใจกับกลุ่มเป้าหมาย ที่สำคัญก็คือการเร่งเร้าหรือเพิ่มความเข้มข้นให้กับความเชื่อมนั่นให้เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ซึ่งโซเชียลมีเดียต่าง ๆ ก็สามารถทำได้และมีการกระทำกันอยู่เป็นปกติ
อย่างไรก็ตาม กระแสทางการเมืองหรืออาจจะเรียกอีกอย่างหนึ่งได้ว่า “อารมณ์ทางการเมือง” ไม่ใช่จะสามารถสร้างขึ้นได้ตามลำพัง บางทีการพยายามสร้างมาก ๆ ก็อาจจะ “แป้ก” หรือไม่ประสบความสำเร็จได้ หรือแม้แต่พยายามสร้างขึ้นในแบบเดียวกันก็อาจจะได้ผลไม่เหมือนกัน แต่ถ้าเป็น “กระแสโดยบังเอิญ” แล้ว ต้องถือว่าพรรคนั้น “ทำบุญมาดี” ถ้าในทางวิทยาศาสตร์ก็คือ “ทำการบ้านมาดี” คือไม่เพียงแต่จะสร้างให้เกิดกระแสขึ้นด้วยเทคโนโลยีและความพยายามในหลาย ๆ ทางแล้ว ก็ต้องคอยหรือหวังว่าสิ่งที่ทำไปนั้นจะได้ผลอย่างที่ต้องการด้วย
ผู้เขียนอธิบายให้นักศึกษาฟังว่า “กระแสของคนรุ่นใหม่” ที่พรรคอนาคตใหม่ได้มาใน พ.ศ. 2562 และส่งผลต่อเนื่องมาจนถึงการเลือกตั้งใน พ.ศ. 2566 นั้น ต้องถือว่าเป็น “บุญกุศล” ตามความเชื่อเก่า หรือ “ทำการบ้านมาดี” ตามหลักวิทยาศาสตร์นั่นเอง คือพรรคอนาคตใหม่เลือกที่จะนำเอานักการเมือง “หน้าใหม่” มานำเสนอ แน่นอนว่าไม่ได้ “ใหม่แต่ใบหน้า” แต่ก็ยัง “ใหม่ด้วยอุดมการณ์” คือสร้างความเชื่อใหม่ ๆ ให้เกิดขึ้นด้วย โดยเฉพาะกระแสเสรีนิยมอันเป็นที่ต้องการของคนรุ่นใหม่ ที่ “เบื่อ” ความเป็นอนุรักษ์นิยมในสังคมไทย พอดีกับที่พรรคเพื่อไทยที่เคยขายความใหม่ ด้วยนโยบายที่แปลกแหวกแนว แต่ตรงใจมหาชน โดยเฉพาะคนในชนบทและคนที่รัฐ “ไม่เคยเห็นหัว” (พอได้นักการเมืองมาเอาใจและเห็นใจ “ให้ความสำคัญ” ก็รู้สึกดีต่อใจ และถือเป็นบุญคุณที่ต้องเลือกพรรคนี้ หรือ “ติดใจ” ที่อยากจะเลือกพรรคนี้มาเอาใจอีก) แต่ตอนนี้ความรู้สึกนี้ก็น่าจะจืดจางไปแล้ว เพราะหลังสุดก็ไม่สามารถแจกเงินหมื่นให้กับทุกคตามนโยบายที่ได้หาเสียงไว้ อีกทั้งพรรคเพื่อไทยก็มีแนวคิดอนุรักษ์มากขึ้น เพราะมีแต่ ส.ส.เก่า ๆ ทั้งยังมี “ดีลลับ” กับกลุ่มอนุรักษ์อย่างไม่น่าไว้วางใจ ทำให้ “ความใหม่” ของพรรคเพื่อไทยเองก็จะต้องหมดไปได้ในที่สุด
ผู้เขียนย้ำกับนักศึกษาที่ร่วมสนทนาในเรื่องนี้ในตอนท้ายว่า “ความใหม่” ของกระแสนโยบายที่พรรคการเมืองจะนำมาใช้หาเสียง ต้องส่งเสริมกันกับ “กระแสคนรุ่นใหม่” ที่แน่นอนว่าพอนานวันไปก็จะต้องกลายเป็นคนรุ่นเก่าในที่สุด เรื่องนี้ก็มีความสำคัญต่อ “การเลือกตั้งครั้งใหม่” ที่จะขอนำไปอธิบายในสัปดาห์ต่อไป








