นายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ได้ทำการไลฟ์สดผ่านเฟซบุ๊กก่อนเข้าร่วมพิธีเปิดการประชุมสุดยอดอาเซียน ครั้งที่ 47 และการประชุมสุดยอดที่เกี่ยวข้อง ณ กรุงกัวลาลัมเปอร์ ประเทศมาเลเซีย โดยยืนยันถึงการลงนามในปฏิญญาเพื่อหาแนวทางการเจรจาและปฏิบัติเพื่อนำไปสู่สันติภาพระหว่างไทย-กัมพูชา ว่า จะไม่ทำให้ประเทศไทยเสียเปรียบ ตามที่หลายฝ่ายแสดงความกังวล
นายกรัฐมนตรีกล่าวเน้นย้ำว่า ปฏิญญานี้ผ่านการรับรองจากคณะรัฐมนตรี (ครม.) เรียบร้อยแล้ว และไม่ใช่สนธิสัญญาที่ต้องขอความเห็นชอบจากรัฐสภา โดยการปฏิบัติตามปฏิญญาดังกล่าว ทางฝ่ายกัมพูชาจะต้องเป็นผู้เริ่มดำเนินการก่อนในเงื่อนไขที่กำหนด แล้วจึงจะมีการประเมินเพื่อดำเนินการขั้นตอนต่อไปให้เกิดสันติภาพของทั้งสองประเทศอย่างแท้จริง
ปฏิญญาดังกล่าวได้กำหนดให้ฝ่ายกัมพูชาต้องดำเนินการใน 4 เรื่องสำคัญ คือ 1.การถอนอาวุธหนักออกจากแนวชายแดน 2.การเก็บกู้วัตถุระเบิดในพื้นที่ 3.การร่วมมือปราบปรามอาชญากรรมทางเทคโนโลยี 4.การแก้ไขปัญหาการรุกล้ำพื้นที่เขตแดน
"ยังไม่มีนะครับที่เราจะเปิดด่าน ยอมเสียดินแดน เดี๋ยวจะสร้างรั้ว ใช้แผนที่ 1 ต่อ 200,000 ซึ่งประเทศไทยยังไม่อยู่ในเงื่อนไขเหล่านี้เลย...ไม่ใช่สัญญาสงบศึก ไม่ใช่ Peace Agreement เป็น Joint Declaration หรือแนวทางที่จะนำไปสู่การสร้างสันติภาพ" นายอนุทินกล่าวเพื่อสร้างความเข้าใจที่ถูกต้อง นายกรัฐมนตรี ยืนยันว่า ประเทศไทยไม่ต้องการที่จะเป็นศัตรูกับใคร โดยทั้งกองทัพและกระทรวงการต่างประเทศได้ทำงานอย่างหนักในเรื่องนี้มาระยะหนึ่งแล้ว เพื่อให้กัมพูชายอมรับเงื่อนไขเหล่านี้ ดังนั้นจึงขอให้ประชาชนมั่นใจว่า ไม่มีจุดใดที่ประเทศไทยจะเสียเปรียบ ตนคำนึงถึงความปลอดภัยของประชาชน การรักษาเกียรติภูมิ อธิปไตย และดินแดนเป็นสำคัญ และเมื่อมีการเจรจาเรื่องการปักปันเขตแดนก็จะนำเทคโนโลยีที่ทันสมัยมาใช้งานอย่างเต็มที่
ก่อนหน้านี้ นายกรัฐมนตรีได้ให้สัมภาษณ์ว่า ได้รับสัญญาณเชิงบวกจากฝ่ายกัมพูชาว่า เมื่อมีการลงนามแล้ว ทางฝ่ายกัมพูชาจะเริ่มดำเนินการตามเงื่อนไข 2 ข้อแรกทันที โดยไทยจะเร่งดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องเช่นเดียวกัน เมื่อมั่นใจว่าต่างฝ่ายต่างปฏิบัติตามข้อผูกพันแล้ว ไทยก็จะส่งคืนเชลยศึกจำนวน 18 คน โดยก่อนส่งคืนจะมีการตรวจสุขภาพเพื่อยืนยันว่าไทยปฏิบัติตามอนุสัญญาเจนีวา หลังจากนั้นจึงจะหาแนวปฏิบัติต่อกันเพื่อลดความเป็นภัยต่อกันให้ลดน้อยลง
ขณะเดียวกัน นายสิริพงศ์ อังคสกุลเกียรติ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ได้แจ้งกำหนดการของนายอนุทินว่า ในช่วงเช้าเวลา 08.30 น. นายกรัฐมนตรีจะเข้าร่วมพิธีเปิดการประชุมสุดยอดอาเซียน ครั้งที่ 47 ซึ่งขับเคลื่อนแนวคิดหลัก "Inclusivity and Sustainability" ของมาเลเซีย พร้อมทั้งเข้าร่วมพิธีมอบรางวัลอาเซียน (ASEAN Prize) ก่อนร่วมลงนามเอกสารรับติมอร์-เลสเตเป็นสมาชิกอาเซียนอย่างเป็นทางการ ณ ศูนย์ประชุม Kuala Lumpur Convention Centre (KLCC)
จากนั้นเวลา 09.45 น. นายกรัฐมนตรีมีกำหนดการพบหารือทวิภาคีกับ นายอันโตนิอู กุแตเรช เลขาธิการสหประชาชาติ และพบหารือทวิภาคีกับ นายแฟร์ดีนันด์ โรมูอัลเดซ มาร์โคส จูเนียร์ ประธานาธิบดีสาธารณรัฐฟิลิปปินส์ ในเวลา 10.20 น. ตามลำดับ หลังจากนั้นเวลา 11.00 น. จะเข้าร่วมการประชุมสุดยอดอาเซียน ครั้งที่ 47 แบบเต็มคณะ (Plenary) และเป็นสักขีพยานในพิธีส่งมอบพิธีสารแก้ไขความตกลงการค้าสินค้าของอาเซียน (ATIGA) ฉบับที่ 2
เวลาประมาณ 12.00 น. นายกรัฐมนตรีมีกำหนดการหารือทวิภาคีกับ นายโดนัลด์ เจ ทรัมป์ ประธานาธิบดีแห่งสหรัฐอเมริกา ซึ่งเป็นโอกาสสำคัญในการผลักดันประเด็นความร่วมมือด้านการค้า ความมั่นคง และการปราบปรามสแกมเมอร์ โดยหลังการหารือเสร็จสิ้น นายกรัฐมนตรีจะเข้าร่วมลงนามถ้อยแถลงผลการพบหารือระหว่างนายกรัฐมนตรีแห่งราชอาณาจักรไทยและนายกรัฐมนตรีแห่งราชอาณาจักรกัมพูชา ณ กรุงกัวลาลัมเปอร์ ประเทศมาเลเซีย (Joint Declaration by the Prime Minister of the Kingdom of Cambodia and the Prime Minister of the Kingdom of Thailand on the outcomes of their meeting in Kuala Lumpur, Malaysia) โดยมีนายกรัฐมนตรีมาเลเซียและประธานาธิบดีสหรัฐอเมริการ่วมเป็นสักขีพยานในการลงนามดังกล่าว
#อนุทิน #ปฏิญญาไทยกัมพูชา #ชายแดนไทย #สันติภาพ #ประชุมสุดยอดอาเซียน








