ผู้การวิศรุฒน์
นอกเหนือจากถูกสหรัฐอเมริกาบีบ ให้ไทยและกัมพูชาต้องยอมลงนามข้อตกลงสันติภาพ เพื่อให้เป็นผลงานของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ในการชิงรางวัลโนเบลสาขาสันติภาพในปีหน้าแล้ว นายอันวาร์ อิบราฮิม นายกรัฐมนตรีมาเลเซีย ในฐานะประธานอาเซียน ก็ยังต้องการผลงาน ในขณะที่เป็นประธานอาเซียนอีกด้วย
สหรัฐและมาเลเซียจึงร่วมมือกันจับให้ไทยและกัมพูชามาลงนามสันติภาพ ในห้วงการประชุมสุดยอดผู้นำอาเซียน Asean Summit 26 ต.ค. นี้ ที่มาเลเซีย หลังจากได้จัดประชุม 4 ฝ่าย มาแล้ว 2 ครั้ง ด้วยครั้งแรกคือที่นิวยอร์ก เมื่อช่วงเดือนกันยายน และครั้งที่ 2 ที่มาเลเซีย เมื่อ 17 ตุลาคมที่ผ่านมา
จนนำมาสู่การประชุมคณะกรรมาธิการร่วมเขตแดน JBC-Joint boundary commission เมื่อ 21-22 ตุลาคมที่ผ่านมาที่จันทบุรี ทับทามกับการประชุมทีมเลขานุการคณะกรรมการชายแดนทั่วไปไทย-กัมพูชา (General Border Committee :GBC) 21-22 ต.ค. และประชุมใหญ่ 23 ต.ค. 2568 ที่นำมาซึ่งการลงนามและบันทึกการประชุมร่วมกันของ “บิ๊กเล็ก” พล.อ.ณัฐพล นาคพานิชย์ รมว.กลาโหม และ พล.อ.เตีย เซ็ยฮา รองนายกฯ และ รมว.กลาโหมกัมพูชา ใน 4 ข้อเสนอของฝ่ายไทย
แม้ว่า พล.อ.ณัฐพล จะเคลมว่าเป็นความสำเร็จของฝ่ายไทยที่สามารถโน้มน้าวให้กัมพูชายอมตกลงทั้งการถอนอาวุธหนักออกจากพื้นที่ขัดแย้ง การเก็บทุ่นระเบิดร่วมกันเป็นครั้งแรก การปราบปรามสแกมเมอร์ร่วมกันเป็นครั้งแรก และการแก้ปัญหาการล่วงล้ำพื้นที่ประเทศไทยที่บ้านหนองจาน และบ้านหนองหญ้าแก้ว จ.สระแก้วก็ตาม แต่ผลงานจริงๆก็ต้องตกเป็นของสหรัฐอเมริกาและมาเลเซียเพราะการที่กัมพูชา ยอมลงนามในข้อตกลงสันติภาพ เป็นเพราะการถูกบีบจากสหรัฐอเมริกาโดยเฉพาะเรื่องการปราบปรามสแกมเมอร์ ที่มีเกาหลีใต้ ซึ่งเป็นพันธมิตรสำคัญของสหรัฐอเมริกา กระโดดลงมาเล่นเต็มตัว
โดยมีรายงานจากกองทัพบกว่า ในห้วงเดือน ก.ย. ที่ผ่านมา พล.อ.พนา แคล้วปลอดทุกช์ ผู้บัญชาการทหารบก ได้รับการประสานจากคนของ พล.อ.ฮุน มาเนต นายกรัฐมนตรีกัมพูชาในเรื่องการหาทางออกของปัญหาข้อพิพาทชายแดน แต่ในขณะเดียวกันก็ได้ทราบปัญหาว่า สมเด็จฮุน เซน ผู้บิดากลับไม่เห็นด้วยกับการเจรจา แต่ทว่าอำนาจตามกฎหมายในฐานะนายกรัฐมนตรีเป็นของ พล.อ.ฮุน มาเนต ที่ต้องการนำประเทศออกจากสภาวะสงคราม
ในขณะเดียวกันเมื่อไม่นานมานี้ มีรายงานว่า นายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรี และ รมว.มหาดไทย ได้สื่อสารข้อความผ่านไปถึง สมเด็จ ฮุน เซน และ พล.อ.ฮุน มาเนต เตือนว่าหากยังคงต้องการจะสู้รบกับประเทศไทยต่อไปรอบหน้า หากมีการใช้อาวุธทำลายประชาชนผู้บริสุทธิ์ รวมถึงการใช้โดรนทิ้งระเบิด ในเขตประเทศไทย ฝ่ายไทยจะตอบโต้อย่างถึงที่สุด และไม่รับประกันว่าการสู้รบจะบานปลายเข้าไปถึงเขตชั้นในของกัมพูชา โดยเฉพาะพนมเปญเลยหรือไม่
เพราะฝ่ายกัมพูชาเอง ก็ไม่คาดคิดว่านายอนุทิน จะมีท่าทีแข็งกร้าว จากที่เคยหวังว่าเมื่อเปลี่ยนรัฐบาลจากพรรคเพื่อไทยมาเป็นพรรคภูมิใจไทยแล้ว จะมีการสงบศึกและรื้อฟื้นความสัมพันธ์โดยเร็ว ส่งผลให้สมเด็จฮุน เซน ไม่พอใจอย่างมาก เพราะถือเป็นการข่มขู่ จึงมีการแสดงออกว่าจะตอบโต้กลับฝ่ายไทย หากยังคงมีการล่วงละเมิด
จากนั้นมีการพบความเคลื่อนไหวของทหารกัมพูชาในพื้นที่กองทัพภาค 2 ที่มีการเสริมกำลังและอาวุธหนักเข้ามาเพิ่ม รวมถึงการขยับในการลาดตระเวนและวางกำลังในพื้นที่เพิ่มเติมมากขึ้น โดยมีการวิเคราะห์จากฝ่ายความมั่นคงของไทยว่า พลเอก ฮุน มาเนต มีทีท่าอ่อนลง แต่ สมเด็จ ฮุน เซน ผู้พ่อ ยังคงไม่ยอม
โดยมีรายงานว่า พล.อ.ฮุน มาเนต ได้เจรจาขอให้ทุกอย่างทำตามขั้นตอนตามกลไกด้วยการประชุม คณะกรรมาธิการเขตแดนร่วม JBC และ คณะกรรมการชายแดนทั่วไป GBC ก่อน ในที่สุด ผลการประชุม JBC และ GBC จึงบรรลุข้อตกลง ในส่วน GBC ไทย-กัมพูชา บรรลุ 3 ข้อตกลง คือ ทำ TOR ในการมี คณะผู้สังเกตการณ์อาเซียน AOT และทำ action plan ถอนอาวุธหนักออกจากพื้นที่ความขัดแย้ง มอบ แม่ทัพภาค 2 และ ผบ ภูมิภาค ทหารที 4 หารือทำตามแผน ในรายละเอียด 25 ต.ค. 2568 และ เห็นชอบ Standard Operating Procedure - SOP เก็บกู้ทุ่นระเบิดร่วมกัน พื้นที่นำร่อง สระแก้ว เริ่ม 25 ต.ค. และ เห็นชอบแผนปฏิบัติการปราบ Cyber Scam จัดตั้ง กองกำลังเฉพาะกิจร่วม Joint Task Force
และ ผลจากการประชุม JBC. ในข้อ 4 ส่งผลให้ พล.อ.ณัฐพล นาคพาณิชย์ รมว.กลาโหม ลงนามในบันทึกการประชุม ร่วมกับ พล.อ.เตีย เซ็ยฮา รองนายกรัฐมนตรีและ รมว.กลาโหม ในการเตรียมปัก “หมุด” ชั่วคราว ที่ บ้านหนองจาน-หนองหญ้าแก้ว จ.สระแก้ว โดยย้ำว่า หมุด ไม่ใช่เส้นเขตแดนตกลงสร้างรั้ว ในเขตประเทศไทย
เมื่อการประชุม GBC ราบรื่น ก็จะส่งผลให้มีการลงนามกันในระดับนายกรัฐมนตรี คือ นายอนุทิน ชาญวีรกูล และ พล.อ.ฮุน มาเนต ใน KualaLampur Declaration ประกาศความสัมพันธ์ไทย-กัมพูชา โดยมีโดนัลด์ ทรัมป์ และนายอันวาร์ เป็นสักขีพยานพร้อมด้วยสมาชิกที่มาร่วมการประชุมอาเซียนซัมมิท
ท่ามกลางการถูกจับตามองว่านายอนุทินจะไปลงนามด้วยตนเองหรือไม่หรือจะให้ รมว.ต่างประเทศ 2 ชาติ เป็นผู้ลงนามแทนได้หรือไม่ เพราะตามความต้องการของสหรัฐต้องการให้นายกรัฐมนตรีไทยและกัมพูชาลงนามด้วยตนเอง แต่ก็จะส่งผลต่อคะแนนนิยมและความรู้สึกของประชาชนคนไทยจำนวนไม่น้อยที่อาจยังไม่ต้องการรื้อฟื้นความสัมพันธ์รื้อคืนดีกับกัมพูชาในเวลานี้
แต่ดูเหมือนจะเป็นสิ่งที่ไม่อาจหลีกเลี่ยงได้ เพราะทุกอย่างเป็นไปตามแผนของมหาอำนาจอย่างสหรัฐฯ ขณะที่ประชาชนคนไทยในประเทศก็ยังไม่มั่นใจว่าการลงนามสันติภาพจะทำให้กัมพูชาเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมที่เคยทำมาหรือไม่และจะยอมปฏิบัติตามข้อตกลงต่างๆหรือไม่
ที่สำคัญกัมพูชายังคงยื่นเรื่องเคลมปราสาทตาเมือนธม ปราสาทตาเมือน และปราสาทตาควาย และช่องบก ต่อศาลโลกและสหประชาชาติในอนาคตก็จะต้องมีปัญหากับประเทศไทยอีก แม้ว่าปัจจุบันกัมพูชาจะยืดตัวปราสาทตาควาย จากการสู้รบเมื่อปลายเดือนกรกฎาคม 2568 ที่ผ่านมาไปแล้วก็ตาม
ในขณะที่กองทัพก็ยังคงไม่ไว้วางใจแม้จะมีการลงนามสันติภาพ ยังคงต้องมีการเตรียมความพร้อมรบในทุกด้าน แม้ว่าทหารจะเสียงแตกเพราะทหารแนวหน้าส่วนใหญ่ก็อยากจะรบอีกรอบหนึ่งเพื่อให้จบ แต่อย่างไรก็ตามในระดับผู้บังคับบัญชาก็ต้องมองเห็นเหตุผลหลายมุม และไม่ต้องการจะสูญเสียกำลังพล ไปมากกว่าที่เคยรบครั้งแรก อีกทั้งเป็นนโยบายรัฐบาล และการกดดันจากสหรัฐอเมริกาและมาเลเซียประธานอาเซียน ก็จึงต้องยอมตามรัฐบาล
แต่กองทัพก็ต้องเตรียมพร้อมไว้เสมอ โดยในการประชุมผู้บัญชาการเหล่าทัพ 24 ตุลาคม 2568 ครั้งแรกของผู้บัญชาการเหล่าทัพชุดใหม่นำโดย “บิ๊กหยอย” พล.อ.อุกฤษฏ์ บุญตานนท์ ผู้บัญชาการทหารสูงสุด จึงได้มีการรับทราบความคืบหน้าในการเตรียมการพร้อมรบของทั้งกองทัพบก กองทัพเรือ กองทัพอากาศ และสำนักงานตำรวจแห่งชาติ เพราะสำหรับกองทัพรู้ดีว่าการสู้รบระหว่างไทยกัมพูชาอาจต้องเกิดขึ้นในอนาคตอีกครั้ง เพราะการสงบศึกครั้งนี้เป็นไปด้วยการถูกกดดันและบีบคั้นจากมหาอำนาจนั่นเอง
#สงบศึกไทยกัมพูชา #ฮุนมาเนต #อนุทิน #กองทัพไทย #ข้อพิพาทชายแดน








