ภาวะสินค้าเกษตรไทยในช่วงวันที่ 20 - 24 ตุลาคม 2568 แสดงให้เห็นถึงภาพรวมของความ “ทรงตัว” เป็นหลัก ในหลายกลุ่มสินค้า แม้ว่าจะมีแรงกดดันและปัจจัยบวกจากตลาดโลกเข้ามาพร้อมกัน ซึ่งสะท้อนถึงการรักษาระดับราคาในประเทศตามมาตรการที่เกี่ยวข้องและความคาดหวังต่อสถานการณ์ระหว่างประเทศ
ในกลุ่มสินค้าอาหารสัตว์หลักอย่าง ข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ ราคาในประเทศยังคงยืนราคาที่ กิโลกรัมละ 9.80 บาท ณ ไซโลโรงงานอาหารสัตว์ ซึ่งเป็นไปตามประกาศของกระทรวงพาณิชย์ ทว่าในตลาดโลก (CBOT) สัญญาข้าวโพดรอบส่งมอบเดือนธันวาคม 2568 ปรับตัวเพิ่มขึ้น แตะระดับสูงสุดในรอบ 1 เดือน โดยมีปัจจัยสำคัญจากความไม่แน่นอนของปริมาณผลผลิตในสหรัฐฯ และการพุ่งขึ้นของราคาน้ำมันดิบกว่า 5% เนื่องจากข้าวโพดเป็นวัตถุดิบหลักในการผลิตเอทานอล ความเชื่อมโยงกับตลาดพลังงานนี้ทำให้ราคามีแนวโน้มได้รับแรงหนุน อย่างไรก็ตาม แนวโน้มราคาในประเทศคาดว่าจะทรงตัว ต่อไป
เช่นเดียวกันกับ กากถั่วเหลือง จากเมล็ดถั่วเหลืองนำเข้า ที่ยังคง ทรงตัว ที่กิโลกรัมละ 13.80 บาท แม้ตลาดล่วงหน้า CBOT จะปรับตัวขึ้นเช่นกัน แรงหนุนในตลาดโลกมาจากราคาน้ำมันดิบ และที่สำคัญคือ ท่าทีเชิงบวก ของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ของสหรัฐฯ เกี่ยวกับการบรรลุข้อตกลงทางการค้ากับจีน โดยเฉพาะประเด็นการกลับมาซื้อถั่วเหลืองของจีน ซึ่งสร้างความหวังให้ตลาดว่าแรงกดดันราคาจะลดลงเมื่อการเจรจาประสบความสำเร็จ ด้านสถานการณ์การผลิต พบว่าบราซิลเริ่มเพาะปลูกเร็วกว่าค่าเฉลี่ย 5 ปี ในขณะที่สหรัฐฯ เก็บเกี่ยวไปแล้วประมาณ 40% ทำให้ แนวโน้มราคานำเข้าคาดว่าจะทรงตัว
สำหรับ ปลาป่น นั้น ราคาในประเทศทั้งเกรดกุ้งและเกรดโปรตีนต่างๆ ทรงตัว แม้ว่าราคารับซื้อในจีนจะยังคงอยู่ในระดับสูงและปริมาณสต็อกหน้าท่าเรือปรับตัวลดลงเล็กน้อย ซึ่งโดยปกติจะส่งสัญญาณบวกต่อราคา อย่างไรก็ตาม จากปัจจัยเหล่านี้ แนวโน้มราคาปลาป่นในประเทศคาดว่าจะปรับตัวขึ้น ในระยะถัดไป
ข้าว ซึ่งเป็นสินค้าเกษตรหลักของไทย ราคายังคง ทรงตัว ทั้งราคาข้าวขาวในประเทศและราคาปลายข้าวสำหรับโรงงานอาหารสัตว์ แต่ราคาซื้อขายข้าวสารส่งออก (F.O.B.) ของข้าวขาวและปลายข้าวกลับ ปรับลดลงเล็กน้อย ซึ่งเป็นไปตามกลไกตลาดส่งออกที่ต้องแข่งขันด้านราคา ทำให้ แนวโน้มราคาข้าวยังคงคาดว่าจะทรงตัว
จุดที่น่าสนใจที่สุดในสัปดาห์นี้คือ กลุ่มปศุสัตว์ โดยเฉพาะ สุกร ที่มีการ ปรับเพิ่มขึ้น 2 บาทต่อกิโลกรัม สำหรับราคาสุกรขุนหน้าฟาร์มในทุกภูมิภาค โดยมีปัจจัยบวกเพิ่มเติมจาก ความต้องการบริโภคที่เริ่มสูงขึ้น และมาตรการเชิงรุกที่ประสบความสำเร็จ เช่น การจัดกิจกรรมตัดวงจรการผลิตสุกร 100,000 ตัว และการจำหน่ายเนื้อสุกรราคาพิเศษ ซึ่งช่วยให้สังคมเริ่มรับรู้สถานการณ์ราคาที่ต่ำกว่าทุนและทำให้การค้าเริ่มมีการให้ราคาที่สูงขึ้นตามกลไกตลาดที่สมดุลขึ้น อย่างไรก็ดี แนวโน้มราคาสุกรคาดว่าจะทรงตัว ในระดับนี้เพื่อรักษาสมดุล
ขณะที่ ไก่เนื้อ และ ไข่ไก่ ยังคง ทรงตัว ทั้งในส่วนของราคาไก่เนื้อที่เกษตรกรขายได้ และราคาแนะนำไข่ไก่คละหน้าฟาร์มที่ฟองละ 3.40 บาท โดย แนวโน้มของทั้งไก่เนื้อและไข่ไก่คาดว่าจะทรงตัว ต่อไปในสัปดาห์หน้า
ภาพรวมของตลาดสินค้าเกษตรไทยในช่วงสัปดาห์นี้ จึงเป็น “ภาวะทรงตัวที่มีแรงหนุนซ่อนอยู่” ปัจจัยจากตลาดโลก ทั้งราคาพลังงานและสัญญาณบวกทางการค้า ยังเป็นตัวขับเคลื่อนสำคัญที่ต้องติดตาม หากราคาน้ำมันยังอยู่ในระดับสูงและการค้าโลกผ่อนคลายมากขึ้น สินค้าเกษตรของไทยโดยเฉพาะกลุ่มอาหารสัตว์และข้าว อาจได้รับแรงหนุนให้ราคาขยับขึ้นในระยะถัดไป ขณะเดียวกัน ภาครัฐยังจำเป็นต้องติดตามมาตรการพยุงราคาที่เหมาะสม เพื่อรักษาเสถียรภาพของรายได้เกษตรกรและการแข่งขันในตลาดโลก








