ลูกเข้าเท้า ขนาดนี้ ต้องวัดใจว่า “ส้ม” หรือ “แดง” จะเปิดเกมซักฟอก รัฐบาล “อนุทิน 1” หรือไม่ ? เพราะทั้ง “พรรคเพื่อไทย” และ “พรรคประชาชน” ต่างอยู่ในสถานะ “พรรคฝ่ายค้าน” เหมือนกัน เพียงแต่ต่างเป็น “เอกเทศ” ไม่ขึ้นต่อกัน
ทั้ง ส้ม - แดง และสีน้ำเงิน คือ “พรรคภูมิใจไทย” แกนนำพรรครัฐบาล ยังแบ่งออกเป็น “สามเส้า” ในสังเวียนการเมือง โดยที่ต่างฝ่ายต่างยืนประจันหน้ากัน ไม่มีมิตรแท้ หรือศัตรูถาวร
สถานการณ์ของรัฐบาล “อนุทิน1” คล้ายกับว่าอยู่ในการอาการ ซวนเซ แม้ไม่ถึงขั้นเจียนอยู่ เจียนไป แต่ต้องยอมรับว่า “ประมาท” ไม่ได้ !
ยิ่งเมื่อ “วรภัค ธันยาวงษ์” ลาออกจากตำแหน่ง “รมช.คลัง” หลังจากที่เจอกับมรสุมถูกกล่าวหาว่าไปเกี่ยวข้องกับสแกมเมอร์ แต่การลาออกของวรภัค เพื่อปิดทางไม่ให้รัฐบาลถูกโจมตี ก็ตาม ประเด็นปัญหาอาจไม่จบลงเพียงเท่านี้
แต่อาจกลายเป็น “จุดเริ่มต้น” ปฏิบัติการ “ภาคต่อ” เขย่ากันรอบใหม่ ถ้า พรรคส้ม และพรรคแดง “ใจถึง” มากพอ
เนื่องจากในรายของวรภัค มีแนวโน้มวว่า ยังสามารถ “ขยายแผล” ขยายผลไปถึง “รัฐมนตรี” รายอื่นๆตามมาด้วยหรือไม่ หรือหากคิดจะ “ล็อคเป้า” ไปที่ นายกฯอนุทิน เพียงคนเดียว ฝ่ายค้านก็ยังสามารถยื่น ทั้งญัตติขอเปิดอภิปรายไม่ไว้วางใจ ในสมัยประชุมหน้าฯ และการยื่น “ถอดถอน” ให้อนุทิน พ้นจากความเป็น “นายกฯ” ขอให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัย ว่าความเป็นรัฐมนตรีสิ้นสุดลงหรือไม่
เนื่องจาก "ขาดความซื่อสัตย์สุจริตเป็นที่ประจักษ์ รู้หรือสมควรรู้ว่าบุคคลที่ถูกแต่งตั้งเป็นรัฐมนตรีขาดคุณสมบัติหรือมีลักษณะต้องห้ามเป็นรัฐมนตรีตามรัฐธรรมนูญ"
เท่ากับว่าหาก แม้วรภัคจะลาออกจากรมช.คลัง ไปแล้วเมื่อวันที่ 22 ต.ค.68 ที่ผ่านมา อาจไม่มีผล เนื่องจาก มีการแต่งตั้งไปแล้ว ถือว่า ความผิดสำเร็จแล้ว
แต่การเข้าชื่อเพื่อยื่น “ศาลรัฐธรรมนูญ” ให้ถอดถอน นายกฯอนุทิน แม้จะเป็นช่องทางที่รวดเร็วทันใจ กลับไม่ได้หมายความว่า จะไม่มีอุปสรรค เข้ามาขวางทาง !
“สมชัย ศรีสุทธิยากร” อดีตคณะกรรมการการเลือกตั้ง ให้ความเห็นเรื่องดังกล่าว ผ่านเฟซบุก ส่วนตัวว่า “ ทางที่เร็วที่สุดในการยื่นคำร้องคือ ต้องใช้เสียง สส. หรือ สว. 1 ใน 10 ของแต่ละสภา ยื่นตรงต่อศาลรัฐธรรมนูญ ซึ่ง หากดูองค์ประกอบในสภาผู้แทน จะมีแค่พรรคเพื่อไทย และพรรคประชาชนเท่านั้น ที่มีเสียงพอเข้าชื่อ
เมื่อพรรคประชาชน ปฏิเสธแนวทางการใช้อำนาจศาลรัฐธรรมนูญมาตลอด ก็เหลือแค่พรรคเพื่อไทยพรรคเดียวที่สามารถดำเนินการได้
ทั้งนี้ จึงเป็นเกมวัดใจพรรคเพื่อไทยในภาวะขาดหัวว่า จะเปิดศึกโค่นอนุทิน หรือจะรอให้หัวใหม่ตัดสินใจว่าจะคบเป็นมิตรในอนาคตหรือสะบั้นความสัมพันธ์แบบไม่เผาผีแล้ว”
ปฏิบัติการเขย่า “รัฐบาลหนู 1” โดยพรรคประชาชนกับพรรคเพื่อไทย โดยยกเอาประเด็นว่าด้วยการบุคคลที่ถูกตั้งคำถาม มาดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีนั้น จะคืบหน้า ไปมากน้อยแค่ไหน ยังต้องพิจารณาด้วยกันหลายมิติ
“หน่วยหน้ากล้าตาย” ที่ออกรบ หน้าค่าย จะดุดันกันมากน้อยแค่ไหน ก็เล่นไปตามบทกันไป แต่อย่าลืมว่า “คนตัดสินใจ” ว่าจะขยับหมากบนกระดานการเมืองกันอย่างไร ยังต้องมองข้ามช็อตไปถึงการตั้งรัฐบาล หลังการเลือกตั้งอีกด้วยว่า จะไปจับมือกับใคร สีไหน จะวางให้ใครเป็น “มิตร” หรือ “ศัตรู” ไม่อย่างนั้นจะเกิด “ดีลลับ”สารพัดดีล กันขึ้นมาอย่างนั้นหรือ ?








