ลีลาชีวิต / ทวี สุรฤทธิกุล
“การเมืองแบบไทย ๆ นั้นไม่มีอะไรซับซ้อน อย่าไปคิดยอกย้อนแบบสามก๊ก” คือคำพูดของท่านอาจารย์ ม.ร.ว.คึกฤทธิ์ ปราโมช เมื่อถูกสัมภาษณ์จากผู้สื่อข่าวในเรื่องวิกฤติการณ์ทางการเมืองในหลาย ๆ ครั้ง
หลังจากที่ท่านอาจารย์คึกฤทธิ์ได้กลายเป็น ส.ส.สอบตกในการเลือกตั้งเมื่อวันที่ 4 เมษายน 2519 ท่านก็กลับมาเขียนหนังสือพิมพ์อย่างจริงจังอีกครั้ง ซึ่งพรรคกิจสังคมก็ไม่ได้เข้าร่วมรัฐบาล พรรคประชาธิปัตย์ภายใต้การนำของท่านอาจารย์ ม.ร.ว.เสนีย์ ปราโมช ก็ได้เป็นแกนนำและจัดตั้งรัฐบาล รัฐบาลนี้ก็ประสบมรสุมเช่นเดียวกัน เหมือนครั้งที่น้องชายคือท่านอาจารย์คึกฤทธิ์เป็นนายกรัฐมนตรี คือการจ้องที่จะโค่นล้มรัฐบาลจากทหาร แต่มีความรุนแรงมากกว่า เพราะถูกโจมตีด้วยว่ารัฐบาลนี้มีคอมมิวนิสต์อยู่ในพรรคด้วยหลายคน และบางคนก็ได้เป็นรัฐมนตรีอีกด้วย ยิ่งไปกว่านั้นทหารยังใช้สื่อของทหารปลุกปั่นมวลชนให้ต่อต้านคอมมิวนิสต์ เกิดกระบวนการ “ขวาพิฆาตซ้าย” ที่เพิ่มความรุนแรงขึ้นอย่างน่ากลัว อย่างเช่นการจัดรายการของสถานีวิทยุยานเกราะ และการจัดอบรมลูกเสือชาวบ้าน ที่มุ่งเป้าไปยังการเคลื่อนไหวของกลุ่มนิสิตนักศึกษาและนักการเมืองหลาย ๆ คน รัฐบาลเองก็ควบคุมสถานการณ์ต่าง ๆ ไม่ได้ ในพรรคประชาธิปัตย์เองก็มีปัญหากับ ส.ส.ในพรรค หัวหน้าพรรคเองก็จัดการอะไรไม่ได้ ท่านอาจารย์เสนีย์จึงได้รับฉายาจากสื่อมวลชนว่า “ฤาษีเลี้ยงลิง”
รัฐบาลท่านอาจารย์เสนีย์มีอายุได้เพียง 5 เดือน เพราะพอถึงปลายเดือนกันยายน 2519 เมื่อหนังสือพิมพ์บางฉบับได้นำภาพการแสดงละครล้อเลียนในการชุมนุมประท้วงของกรรมกรโรงงานแห่งหนึ่งมาขึ้นหน้า 1 โดยละครนั้นได้นำเอาชายคนหนึ่งมาแขวนคอ ซึ่งชายคนนั้นมีหน้าตาคล้ายบุคคลสำคัญ ทำให้เกิดกระแสในหมู่คนที่เทิดทูนให้เข้าจัดการกับผู้ชุมนุมประท้วงอย่างเด็ดขาด ซึ่งในขณะเดียวกันก็มีการชุมนุมประท้วงของนักศึกษาอยู่ในมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ จึงเป็นเป้าให้มีการเชื่อมโยงว่าการประท้วงทั้งหลายมีความเกี่ยวข้องกัน พร้อมกับมีข่าวว่าทหารตำรวจจะเข้าปราบปรามการชุมนุมในเร็ววัน ซึ่งในเช้าวันที่ 6 ตุลาคม 2519 ตำรวจก็เข้าปิดล้อมรอบมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ มีการประกาศให้นักศึกษายุติการชุมนุม มีนักศึกษบางส่วนต่อสู้ขัดขืน จึงถูกทำร้าย มีการยิงเข้าไปในที่ชุมนุม ผู้ชุมนุมหลายคนหนีออกมา แต่ก็ถูกเจ้าหน้าที่และประชาชนที่รายรอบอยู่ข้างนอกรุมเข้าทำร้าย จับเอาผู้ที่หนีออกมาแขวนคอที่ต้นมะขามริมสนามหลวง หน้ามหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ แล้วเอาศพลงมา เอาไม้แหลมแทงปักคาหน้าอก เอายางรถยนต์มสุมไฟเผาศพชายคนนั้นที่ริมฟุตบาท เป็นภาพที่น่าเอน็จอนาถมาก ด้านในมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ก็มีการกวาดต้อนผู้ชุมนุมนับพัน ๆ ให้ถอดเสื้อนอนคว่ำหน้ากับพื้นสนามฟุตบอล แล้วต้อนให้ขึ้นรถไปคุมขัง การชุมนุมก็ยุติลงในตอนบ่าย ตามมาด้วยการอ่านประกาศของคณะปฏิรูปการปกครอง ที่นำโดยพลเรือเอกสงัด ชลออยู่ ถือว่าเป็นการปิดฉากของยุค “นิสิตนักศึกษาครองเมือง” ในเวลาเพียง 3 ปี (ตอนนั้นผู้เขียนเป็นนิสิตปี 1 คณะรัฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย พอทราบข่าวก็ตกใจมาก พอดีมีรุ่นพี่คนหนึ่งเขาอยากไปดู ตอนเย็นจึงพากันไปดู ยังเห็นกองเถ้าถ่านที่มีไฟกรุ่น ๆ นั้น ส่วนศพก็เคลื่อนย้ายออกไปแล้ว เป็นภาพน่ากลัวที่ยังติดตามาถึงทุกวันนี้)
ในปลายปี 2519 นั้นเองผู้เขียนก็ได้ไป “พบตัว” ท่านอาจารย์คึกฤทธิ์ เพราะต้องไปเชิญท่านมาเป็นองค์ปาฐก ในกิจกรรมหารายได้เพื่อหาทุนไปเป็นค่าใช้จ่ายในการปลูกป่า ของชมรมอนุรักษ์ธรรมชาติ ในคณะรัฐศาสตร์ จุฬาฯ การนัดหมายนั้นไม่ยุงยากอย่างที่พวกเราหลายคนเกรงกลัว “พี่หละ” พ่อบ้านของท่านที่เราโทรศัพท์ไปเป็นผู้จัดการให้ได้เข้าพบ การพบปะเกิดขึ้นในตอนบ่ายวันหนึ่งของต้นเดือนธันวาคม พวกเรากรรมการชมรมไปพบท่านด้วยกันรวม 4 คน พวกเราลงแท็กซี่ที่ที่หน้าบ้านในซอยพระพินิจ มี “จ่าเสริฐ” ตำรวจสูงอายุร่างท้วม ๆ นั่งอยู่ที่แคร่ใต้ต้นมะขามเทศหน้าบ้าน เมื่อทราบวัตถุประสงค์ของพวกเราแล้วก็พาเดินเข้าไปข้างใน ผ่านศาลาโลงทรงไทยหลังใหญ่และสวนไม้ดัด แล้วก็ถึงหมู่เรือนไทย พวกเราเดินเข้าไปที่ใต้ถุน ตรงปลายโต๊ะกลางใต้ถุนนั้นก็มองเห็นเจ้าของบ้านนั่งอ่านหนังสือพิมพ์ฉบับบ่ายหลายฉบับที่วางอยู่ข้าง ๆ พวกเรายกมือไหว้และก้มหัวลงด้วยความประหม่า เพราะพวกเรารู้ว่าท่านเป็นอดีตนายกรัฐมนตรีและเป็นคนสำคัญของบ้านเมืองนี้ ท่านยกมือไหว้ตอบตามสมควร แล้วให้พวกเรานั่งลงทั้งสองฝั่งของโต๊ะ เมื่อแนะนำตัวและแจ้งความประสงค์แล้ว ท่านก็ซักถามเราถึง “เรื่องส่วนตัว” ก็คือภูมิลำเนา อาชีพพ่อแม่ การศึกษาของพวกเราแต่ละคนในชั้นมัธยม และกิจกรรมต่าง ๆ ในมหาวิทยาลัย (ซึ่งการพูดคุยใน “เรื่องส่วนตัว” นี้ ผู้เขียนเคยเขียนไว้ในบทความชุด “ใต้ถุนบ้านซอยสวนพลู” ในหนังสือพิมพ์สยามรัฐนี้เมื่อหลายปีก่อน ถือได้ว่าเป็น “คึกฤทธิ์วิทยายุทธ์” อันสำคัญ ที่ได้ทำให้ท่านอาจารย์คึกฤทธิ์เป็นผู้ที่มี “ปัญญาและบารมี” จนเป็นที่เคารพรักของคนทั่วไป ซึ่งในการพูดคุยกับคนแต่ละวัยแต่ละอาชีพก็จะมีความแตกต่างกันไป อันเป็นเสน่ห์เฉพาะตัวของท่านอาจารย์คึกฤทธิ์)
วันนั้นท่านอาจารย์คึกฤทธิ์ไม่ได้ตอบรับที่จะไปเป็นองค์ปาฐกให้พวกเรา แต่ท่านก็ได้สนับสนุนเงินเป็นค่าใช้จ่ายให้จำนวนหนึ่ง ซึ่งก็มากพอสมควร จากนั้นท่านได้พาขึ้นไปชมบ้านเรือนไทยของท่านด้วยตัวของท่านเองเป็นเวลาเกือบหนึ่งชั่วโมง รวมถึงศาลาโถงหลังใหญ่หน้าบ้าน และสวนไม้ดัดที่เชื่อมระหว่างศาลาโถงกับหมู่เรือนไทย สุดท้ายคือที่บริเวณสวนในสนามหญ้าหลังบ้าน ที่ทำให้พวกเราได้ซึมซาบเอาไว้ซึ่ง “ชีวิตไทยและความเป็นไทย” โดยไม่รู้ตัว ก่อนที่จะลาจากกัน ท่านยังบอกด้วยว่าถ้าพวกเราคนไหนจะมาทานข้าวกับท่านหรือให้ท่านช่วยเหลืออะไรอีกก็ยินดี ซึ่งผู้เขียนเองก็เก็บความปลื้มใจและประทับใจนี้ไว้อย่างเต็มอิ่ม พอตอนปิดเทอมในเดือนมีนาคม 2520 ก็นึกถึงคำที่ท่านได้เชิญชวนไว้ เพราะคิดว่าถ้าให้ท่านหางานให้ทำระหว่างปิดเทอม ก็คงจะดีกว่ากลับไปบ้านที่ขอนแก่น หรืออยู่เปล่า ๆ ในหอพัก ครั้นพอไปพบท่าน เล่าความประสงค์แก่ท่าน ๆ ก็ชวนให้มาทำงานที่บ้านของท่าน ผู้เขียนจำได้อย่างแม่นยำติดหูที่ท่านถามผู้เขียนว่า “ชงเหล้าเป็นไหม?” ซึ่งผู้เขียนก็งง ๆ ถามกลับไปว่า “ทำไมหรือครับ” ท่านก็ตอบว่า “บ้านนี้แขกไปใครมาเยอะ แขกทั่วไปก็มีคนจัดน้ำท่ามาต้อนรับอยู่แล้ว แต่นักการเมืองนี้เขาต้องดื่มอะไรหรู ๆ หรา ๆ ต้องคอยจำว่าใครชอบอะไร ดื่มอะไร” นั่นคืออารมณ์ขันหนึ่งของท่านอาจารย์คึกฤทธิ์ เพราะถึงเวลาจริง ๆ พ่อบ้านและเด็กรับใช้ในบ้านที่มีอยู่อีก 2 - 3 คนนั้นก็ทำหน้าที่เหล่านี้ได้ดีอยู่แล้ว ผู้เขียนก็แค่รับโทรศัพท์และอ่านจดหมายที่มีคนโทรมาเขียนมาถึงท่าน และต่อมาก็ลงนัดหมาย เตรียมเอกสาร และเตือนนัดหมายกับการประชุมต่าง ๆ ของท่าน โดยช่วยทำกับ “พี่เบิ้ม” เลขานุการของท่าน ที่ทำหน้าที่เป็นหลักอยู่ทั้งที่บ้านสวนพลูและที่ธนาคารกรุงเทพฯพาณิชยการจำกัดนั้นอยู่ก่อนแล้ว
ผู้เขียนเริ่มเรียนการเมืองไทยก็ที่นี่ ที่บ้านสวนพลูกับ “ซือแป๋แห่งซอยสวนพลู” นี่เอง แม้จะเป็นนิสิตของคณะรัฐศาสตร์ และมีปรมาจารย์หลายคนผู้เป็นเจ้าของวิชาต่าง ๆ ทางการเมืองการปกครอง ได้สอนสั่งให้ได้รู้อยู่แล้ว แต่ผู้เขียนก็ต้องยอมรับว่าท่านอาจารย์คึกฤทธิ์นี้ “สุดยอดจริง ๆ” ที่อาจจะเรียกได้ว่าที่นี่คือ “มหาวิทยาลัยสวนพลู” ที่มีความรู้หลากหลายแขนงให้ได้เรียน
ที่ท่านสอนว่า “การเมืองแบบไทย ๆ ไม่มีอะไรซับซ้อน อย่าไปคิดยอกย้อนแบบเรื่อสามก๊ก” ก็เป็นส่วนหนึ่งที่ท่านสอนไว้ แล้วจะค่อย ๆ ขยายความให้ฟังต่อ ๆ ไปตามโอกาส คอยติดตามด้วยนะครับ








