ช่วยกันคิด ช่วยกันทำ / ทหารประชาธิปไตย
ระบบระหว่างประเทศกำลังเผชิญกับการเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญจากโลกขั้วเดียวที่สหรัฐอเมริกาครอบงำหลังสงครามเย็นสู่ "โลกหลายขั้ว" (Multipolar World) ที่มีศูนย์กลางอำนาจกระจายไปยังหลายประเทศและภูมิภาค การเปลี่ยนแปลงนี้ส่งผลกระทบอย่างลึกซึ้งต่อความสัมพันธ์ระหว่างประเทศและบทบาทขององค์การระหว่างประเทศ โดยเฉพาะสามสถาบันสำคัญคือองค์การสหประชาชาติ (UN) ธนาคารโลก (World Bank) และกองทุนการเงินระหว่างประเทศ (IMF) ซึ่งต้องปรับตัวเพื่อรองรับโครงสร้างอำนาจใหม่ที่ซับซ้อนและท้าทายมากขึ้น
ลักษณะของโลกหลายขั้ว
โลกหลายขั้วหมายถึงระบบระหว่างประเทศที่มีมหาอำนาจหลายประเทศที่มีอิทธิพลในระดับโลก แตกต่างจากโลกขั้วเดียวหรือสองขั้วในอดีต ปัจจุบันนอกจากสหรัฐอเมริกาแล้ว ยังมีจีนที่เติบโตขึ้นมาเป็นมหาอำนาจทางเศรษฐกิจและทหารอย่างรวดเร็ว รัสเซียที่พยายามฟื้นคืนบทบาทมหาอำนาจ สหภาพยุโรปที่เป็นพลังเศรษฐกิจรวม และมหาอำนาจระดับภูมิภาคอย่างอินเดีย บราซิล อิหร่าน ตุรเคียและประเทศในตะวันออกกลาง
การกระจายตัวของอำนาจนี้เกิดจากหลายปัจจัย ทั้งการเติบโตทางเศรษฐกิจของประเทศกำลังพัฒนาโดยเฉพาะในเอเชีย การลดลงของอิทธิพลสัมพัทธ์ของสหรัฐอเมริกาหลังวิกฤตการเงินปี 2008 สงครามในยูเครนและสงครามในตะวันออกกลาง ความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีที่ทำให้ประเทศต่างๆ สามารถพัฒนาได้เร็วขึ้น และการเกิดขึ้นของกลุ่มความร่วมมือใหม่ๆ เช่น BRICS (บราซิล รัสเซีย อินเดีย จีน แอฟริกาใต้) ที่ท้าทายระเบียบโลกเดิม
ผลกระทบต่อความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ
โลกหลายขั้วทำให้ความสัมพันธ์ระหว่างประเทศซับซ้อนและไม่สามารถคาดเดาได้มากขึ้น ประเทศต่างๆ มีตัวเลือกในการสร้างพันธมิตรมากขึ้น ไม่จำเป็นต้องยึดติดกับมหาอำนาจใดมหาอำนาจหนึ่ง ทำให้เกิดการทูตแบบ "hedging" หรือการกระจายความเสี่ยงโดยสร้างความสัมพันธ์กับหลายฝ่าย ตัวอย่างเช่น ประเทศในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้หลายประเทศพยายามรักษาสมดุลระหว่างสหรัฐอเมริกาและจีน โดยมีความร่วมมือทางเศรษฐกิจกับจีนแต่ยังคงความสัมพันธ์ด้านความมั่นคงกับสหรัฐฯ
อย่างไรก็ตาม โลกหลายขั้วก็นำมาซึ่งการแข่งขันและความตึงเครียดที่เพิ่มขึ้น การแข่งขันระหว่างมหาอำนาจ โดยเฉพาะสหรัฐอเมริกาและจีน กลายเป็นแกนหลักของการเมืองโลก ความขัดแย้งนี้แสดงออกในหลายมิติ ทั้งการค้า เทคโนโลยี อิทธิพลทางภูมิรัฐศาสตร์ และคุณค่าทางการเมือง สงครามการค้าระหว่างสหรัฐฯ-จีน การแข่งขันด้านเทคโนโลยี 5G และปัญญาประดิษฐ์ สงครามยูเครน-รัสเซียที่สร้างการเผชิญหน้ารัสเซีย-ยุโรปและความตึงเครียดในทะเลจีนใต้เป็นตัวอย่างที่ชัดเจน
นอกจากนี้ การขาดมหาอำนาจที่ครอบงำเด็ดขาดทำให้เกิดช่องว่างในการบังคับใช้กฎเกณฑ์ระหว่างประเทศ ประเทศมหาอำนาจแต่ละประเทศพยายามสร้างกฎเกณฑ์และมาตรฐานของตนเอง ทำให้เกิดระบบที่ขาดความสอดคล้องและเป็นไปได้ที่จะมีระเบียบโลกหลายระบบที่แข่งขันกัน เช่น มาตรฐานทางเทคโนโลยี กฎเกณฑ์ทางการค้า และบรรทัดฐานด้านสิทธิมนุษยชน
ผลกระทบต่อองค์การสหประชาชาติ (UN)
องค์การสหประชาชาติที่ก่อตั้งขึ้นในปี 1945 หลังสงครามโลกครั้งที่สอง ถูกออกแบบมาสำหรับโลกที่แตกต่างไปจากปัจจุบันมาก โครงสร้างของ UN โดยเฉพาะคณะมนตรีความมั่นคงที่มีสมาชิกถาวร 5 ประเทศ (สหรัฐอเมริกา รัสเซีย จีน อังกฤษ และฝรั่งเศส) สะท้อนถึงดุลอำนาจหลังสงครามโลกครั้งที่สอง ไม่ใช่โลกหลายขั้วในศตวรรษที่ 21
ในโลกหลายขั้ว ประสิทธิภาพของ UN ในการรักษาสันติภาพและความมั่นคงระหว่างประเทศลดลง เนื่องจากความขัดแย้งระหว่างมหาอำนาจทำให้คณะมนตรีความมั่นคงถูกทำให้เป็นอัมพาตด้วยการใช้สิทธิ์ยับยั้ง (veto) บ่อยครั้ง กรณีการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ในกาซา สงครามในซีเรีย สงครามรัสเซีย-ยูเครน หรือความขัดแย้งอื่นๆ แสดงให้เห็นว่า UN ไม่สามารถดำเนินการได้อย่างมีประสิทธิผลเมื่อผลประโยชน์ของมหาอำนาจขัดแย้งกัน
อย่างไรก็ตาม โลกหลายขั้วก็อาจสร้างโอกาสให้ UN ในบางด้าน เช่นการเปิดโอกาสให้ประเทศกำลังพัฒนาและมหาอำนาจระดับภูมิภาคมีบทบาทมากขึ้นในองค์การ ตามเสียงเรียกร้องให้ปฏิรูป UN เพื่อสะท้อนความเป็นจริงของอำนาจในโลกปัจจุบัน เช่น การขยายที่นั่งถาวรในคณะมนตรีความมั่นคงให้รวมประเทศเช่นอินเดีย บราซิล เยอรมนี หรือญี่ปุ่น หรือการยกเลิกอำนาจVeto อนึ่งUN ก็ยังคงเป็นเวทีสำคัญที่มหาอำนาจทั้งหลายสามารถเจรจาและหาจุดร่วมได้ โดยเฉพาะในประเด็นข้ามชาติเช่น การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ โรคระบาด และการพัฒนาที่ยั่งยืน
ผลกระทบต่อกองทุนการเงินระหว่างประเทศ (IMF) และธนาคารโลก (World Bank)
IMF ที่ก่อตั้งขึ้นพร้อมกับธนาคารโลกหลังสงครามโลกครั้งที่สอง เป็นส่วนหนึ่งของระเบียบเศรษฐกิจโลกที่นำโดยตะวันตก โดยเฉพาะสหรัฐอเมริกาและยุโรป ในโลกหลายขั้ว บทบาทและโครงสร้างของ IMF และ World Bank ถูกตั้งคำถามและเผชิญความท้าทายหลายประการ
ประการแรก การกระจายตัวของอำนาจทำให้เกิดการเรียกร้องให้ปฏิรูประบบคะแนนเสียงและโควตาของ IMF ที่ยังคงให้น้ำหนักกับประเทศพัฒนาแล้วมากเกินไป แม้จะมีการปฏิรูปบางส่วนในปี 2010 ที่เพิ่มสัดส่วนให้กับประเทศกำลังพัฒนา แต่จีนและอินเดียที่เป็นเศรษฐกิจใหญ่ของโลกยังมีสัดส่วนคะแนนเสียงที่น้อยกว่าประเทศยุโรปหลายประเทศรวมกัน สิ่งนี้ทำให้เกิดความไม่พอใจและลดความชอบธรรมของ IMF และ World Bank ในสายตาของประเทศกำลังพัฒนา
ประการที่สอง การเกิดขึ้นของสถาบันการเงินทางเลือกท้าทายบทบาทผูกขาดของ IMF และ World Bank เช่นธนาคารเพื่อการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานเอเชีย (AIIB) ที่นำโดยจีน ธนาคารพัฒนาใหม่ (NDB) ของกลุ่ม BRICS และกองทุนสำรองฉุกเฉินของ BRICS เป็นตัวอย่างของสถาบันใหม่ที่สร้างขึ้นเพื่อให้ประเทศกำลังพัฒนามีทางเลือกในการระดมทุนและช่วยเหลือทางการเงิน แม้สถาบันเหล่านี้จะยังไม่มีขนาดและอิทธิพลเทียบเท่า IMF และ World Bank แต่การมีอยู่ของพวกเขาลดอำนาจต่อรองของ IMF และ World Bank บังคับให้องค์การต้องแข่งขันและปรับปรุงเงื่อนไขในการให้ความช่วยเหลือ
ประการที่สาม นโยบายและเงื่อนไขของ IMF และ World Bank ที่มักเน้นมาตรการเข้มงวดทางการคลัง (austerity) และการปฏิรูปตลาดเสรีถูกวิพากษ์วิจารณ์ว่าสะท้อนอุดมการณ์ทางเศรษฐกิจของตะวันตกและไม่เหมาะสมกับบริบทของประเทศกำลังพัฒนา ในโลกหลายขั้วที่มีแบบจำลองการพัฒนาที่หลากหลาย เช่น รูปแบบทุนนิยมแบบรัฐนำของจีน IMF และ World Bank ต้องยืดหยุ่นและเปิดกว้างต่อทางเลือกนโยบายที่แตกต่างกันมากขึ้น
อย่างไรก็ตาม IMF ยังคงมีบทบาทสำคัญในการรักษาเสถียรภาพทางการเงินโลก โดยเฉพาะในช่วงวิกฤต เช่น วิกฤตการเงินโลกปี 2008 และการระบาดของโควิด-19 ที่ IMF ให้ความช่วยเหลือทางการเงินแก่ประเทศสมาชิกจำนวนมาก ความเชี่ยวชาญทางเทคนิคและทรัพยากรของ IMF ยังคงมีคุณค่า แต่ในโลกหลายขั้ว องค์การต้องพิสูจน์ความเกี่ยวข้องและยอมรับบทบาทที่ลดลงหากไม่ยอมปฏิรูป ส่วนWorld Bank ก็ยังคงมีบทบาทในการให้กู้เงินเพื่อการพัฒนาแม้จะมีการเมืองแฝงอยู่มาก
บทสรุปและแนวโน้มอนาคต
โลกหลายขั้วนำมาซึ่งความท้าทายและโอกาสทั้งต่อความสัมพันธ์ระหว่างประเทศและองค์การระหว่างประเทศ ในด้านหนึ่ง การกระจายตัวของอำนาจสร้างโอกาสให้ประเทศกำลังพัฒนามีบทบาทมากขึ้นในการกำหนดระเบียบโลก ส่งเสริมความหลากหลายและการมีตัวแทนที่ดีขึ้น แต่ในอีกด้านหนึ่ง การขาดมหาอำนาจที่ครอบงำทำให้การประสานงานระหว่างประเทศยากขึ้น เพิ่มความเสี่ยงของความขัดแย้งและการแข่งขัน
สำหรับองค์การระหว่างประเทศเช่น UN และ IMF และ World Bank การปฏิรูปเพื่อสะท้อนความเป็นจริงของโลกหลายขั้วเป็นสิ่งจำเป็น การปรับโครงสร้างให้มหาอำนาจใหม่มีบทบาทมากขึ้น การยืดหยุ่นต่อแนวทางที่หลากหลาย และการเน้นประเด็นที่มีความร่วมมือข้ามชาติจะช่วยให้องค์การเหล่านี้ยังคงความเกี่ยวข้องและประสิทธิผล แต่หากไม่มีการปฏิรูปองค์การเหล่านี้ก็อาจไม่เป็นที่ยอมรับของหลายประเทศในอีกไม่นาน
แนวโน้มในอนาคตชี้ให้เห็นว่าโลกหลายขั้วจะดำเนินต่อไปและอาจรุนแรงขึ้น ถึงขั้นเกิดสงคราม การแข่งขันระหว่างสหรัฐอเมริกาและจีนจะยังคงเป็นปัจจัยสำคัญ ในขณะที่มหาอำนาจระดับภูมิภาคอื่นๆ จะมีอิทธิพลเพิ่มขึ้น ความสำเร็จของระบบระหว่างประเทศในศตวรรษที่ 21 จะขึ้นอยู่กับความสามารถในการจัดการกับความซับซ้อนของโลกหลายขั้ว การหาจุดสมดุลระหว่างการแข่งขันและความร่วมมือ และสร้างสถาบันระหว่างประเทศที่แข็งแกร่งและมีความชอบธรรม ท้ายที่สุด ความท้าทายระดับโลกเช่น การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ โรคระบาด และความไม่เท่าเทียมทางเศรษฐกิจต้องการความร่วมมือข้ามชาติที่มีประสิทธิผล ไม่ว่าโลกจะมีกี่ขั้วก็ตาม การสร้างกลไกที่ทุกประเทศสามารถทำงานร่วมกันเพื่อผลประโยชน์ร่วมกันจึงเป็นภารกิจสำคัญของยุคเรา ซึ่งถ้าเราไม่อาจยอมรับการเปลี่ยนแปลงที่เป็นธรรม ก็มีความเป็นไปได้ที่โลกจะเข้าสู่สภาวะสงครามใหญ่ เช่นเดียวกับความล้มเหลวขององค์การสันนิบาตชาติ (Nations League) ก่อนเกิดสงครามโลกครั้งที่สอง








