วันที่ 23 ตุลาคม 2568 ที่ศาลาว่าการกรุงเทพมหานคร ดินแดง นายวิรัช คงคาเขตร สมาชิกสภากรุงเทพมหานคร (ส.ก.) เขตบางกอกใหญ่ พรรคประชาธิปัตย์ (ปชป.) เปิดเผยถึงสถานะปัจจุบันของตนเอง หลังมีข่าวความเปลี่ยนแปลงหลายอย่างภายในพรรคประชาธิปัตย์ โดยยืนยันว่า ณ ขณะนี้ ตนยังอยู่กับพรรคประชาธิปัตย์ และยังไม่ได้ไปสมัครเป็นสมาชิกกลุ่มอิสระใด ๆ คือในฐานะสมาชิกพรรคฯ เมื่อพรรคมีมติเลือกท่านอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ เป็นหัวหน้าพรรคเมื่อวันที่ 18 ตุลาคม 2568 นั้น ก็ต้องยอมรับว่าภาพรวมของพรรคดูดีขึ้น เหมือนกับการได้ลูกรักของพรรคกลับมา ซึ่งเชื่อว่าตัวท่านอภิสิทธิ์เองจะสามารถดึงคะแนนเสียงในภาพกว้างได้
อย่างไรก็ตาม แม้ท่านอภิสิทธิ์จะเข้ามา แต่ต้องยอมรับว่าช่วงเวลาที่เหลืออยู่ก่อนการเลือกตั้งใหญ่ ไม่น่าจะถึง 2-3 เดือนด้วยซ้ำ ในช่องว่างเวลาอันสั้นนี้ ท่านอภิสิทธิ์อาจจะยังไม่มีโอกาสแสดงบทบาทในฐานะผู้นำพรรคได้อย่างเต็มที่ในการวางนโยบายที่สามารถช่วยให้กระแสของประชาธิปัตย์กลับมาได้ง่าย ๆ เพราะการแก้ไขกระแสพรรคที่ถดถอยลงนั้นต้องใช้เวลา หากเป็นการเลือกตั้งที่อยู่ในสถานการณ์ปกติ หรือหากท่านอภิสิทธิ์ได้เป็นหัวหน้าพรรคตั้งแต่เมื่อ 3-4 ปีที่แล้ว ท่านจะมีโอกาสแสดงฝีมือได้มาก
แต่ในมุมมองเชิงบวก เชื่อว่าคะแนนจากบัญชีรายชื่อ (ปาร์ตี้ลิสต์) ของประชาธิปัตย์น่าจะดีกว่าการเลือกตั้งครั้งหลังสุดที่ผ่านมา เพราะท่านอภิสิทธิ์สามารถดึงคะแนนกลับมาได้ อย่างไรก็ตาม สำหรับการส่งผู้สมัคร ส.ส. พื้นที่นั้น น่าจะเป็นเรื่องยาก เพราะที่ผ่านมาอาจจะไม่มีใครลงไปทำพื้นที่อย่างจริงจัง
เมื่อถามถึงแง่ยุทธศาสตร์ของพรรคเพื่อเตรียมรับมือเลือกตั้ง มองเห็นอะไรที่ควรจะต้องปรับเปลี่ยนเพื่อสร้างโอกาส นายวิรัชกล่าวว่า ตนมองว่าคนที่อยู่ระดับสูงบางส่วนควรจะถอยลงมาได้แล้ว คือไม่ได้หมายความว่าคนเหล่านี้หมดคุณค่า แต่พรรคควรจะเปิดทางให้คนรุ่นใหม่ได้เข้ามามีบทบาท อาจจะให้คนอาวุโสทำหน้าที่เป็นที่ปรึกษา โดยไม่จำเป็นต้องเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร
การให้คนรุ่นใหม่เข้ามาเป็น ส.ส. ให้มาก โดยเฉพาะในบัญชีรายชื่อ (ปาร์ตี้ลิสต์) ก็เป็นเรื่องสำคัญ ถ้าท่านอภิสิทธิ์ลงบัญชีรายชื่อในอันดับ 1 หรือ 2 แล้วตามด้วยคนรุ่นใหม่ อย่างน้อยก็ยังดีกว่าการให้ท่านอาวุโสไปอยู่ในบัญชีรายชื่อ นี่คือโอกาสที่พรรคประชาธิปัตย์จะมีคะแนนดีขึ้น
นอกจากนี้ ในอดีตที่พรรคประชาธิปัตย์ประสบความสำเร็จและมีนายกรัฐมนตรีได้นั้น มักจะอาศัยเลขาธิการพรรคที่มีความสามารถในการประสานงานสูง ซึ่งคนเหล่านี้จะรับบทบาทในการจัดการเรื่องยุ่งยาก เพื่อรักษาภาพลักษณ์ของหัวหน้าพรรค ซึ่งแตกต่างจากเลขาธิการพรรคคนก่อนอย่างคุณเฉลิมชัย ศรีอ่อน ที่แม้จะทุ่มเทเต็มที่ แต่ก็ได้รับผลกระทบจากหลายปัจจัย ทั้งความไม่เข้มแข็งของหัวหน้าพรรค และกระแสพรรคก้าวไกล (ขณะนั้น) ที่มาแรง
เมื่อถามว่า ในพื้นที่กรุงเทพมหานคร และเขตบางกอกใหญ่ ซึ่งเป็นพื้นที่ของคุณวิรัชเอง มองโอกาสในการเลือกตั้งอย่างไร นายวิรัชกล่าวว่า ตอนนี้คนในกรุงเทพฯ จำนวนหนึ่งที่เคยเลือก 4 พรรคการเมืองหลัก คือ พลังประชารัฐ, รวมไทยสร้างชาติ, ประชาธิปัตย์, และเพื่อไทย กำลังอยู่ในภาวะที่ไม่รู้จะเลือกใคร หากนำคะแนนของ 4 พรรคนี้มารวมกันจะเห็นว่าชนะคะแนนของพรรคก้าวไกล (ในอดีต) ในกรุงเทพฯ ดังนั้น โอกาสของประชาธิปัตย์จึงอยู่ที่การดึงคะแนนจากกลุ่มที่ยังไม่ตัดสินใจนี้กลับมา
"แต่ถึงแม้โอกาสในภาพรวมจะยังมีอยู่ ผมก็ยอมรับว่าการเลือกตั้งครั้งนี้มันเหนื่อย คนก็ยังถามว่าคุณอภิสิทธิ์เข้ามาตอนนี้จะทันการหรือไม่ ส่วนตัวผมเองที่อยู่มานาน ปัจจุบันเป็น ส.ก. สมัยที่ 4 หากรวมช่วงที่ว่างเว้นไป 8 ปี ในสมัยรัฐบาลพลเอกประยุทธ์ ก็เท่ากับ 7 สมัย ก็คิดว่าการเลือกตั้งครั้งหน้าจะเป็นไฟท์สุดท้ายแล้ว เพราะทำมานานมากและเห็นว่างานหลายประเด็นในเขตบางกอกใหญ่ยังค้างคาอยู่ แต่หลังจากจบวาระนี้ก็คงจะพอแล้ว และจะเปิดโอกาสให้คนรุ่นใหม่เข้ามาทำงานต่อไป เพื่อให้เกิดประโยชน์สูงสุดต่อเขตบางกอกใหญ่"
เมื่อถามว่า ในฐานะ ส.ก. เขตบางกอกใหญ่ มีประเด็นปัญหาอะไรที่ยังติดค้าง นายวิรัชกล่าวว่า ปัญหาใหญ่ตอนนี้คือโครงการก่อสร้างบ่อบำบัดน้ำเสียในเขตบางกอกใหญ่ ซึ่งเป็นโครงการที่ดี แต่มีการวางแผนและการบริหารจัดการที่ผิดพลาด ตนต้องบอกว่าเป็นการทำงานที่ชุ่ยมากตั้งแต่สมัยอดีต โครงการนี้ดำเนินการมาแล้ว 3 ปี และตามกำหนดเดิมกว่าจะแล้วเสร็จต้องใช้เวลารวมถึงปี 2570
ผลกระทบที่เกิดขึ้นตอนนี้คือ คลองทั้งหมดในเขตบางกอกใหญ่ ซึ่งอุดมไปด้วยคลอง ล้วนแต่เน่าเสีย มีการนำแผ่นเหล็กและนั่งร้านมาปิดทางน้ำ ทำให้คลองใหญ่ 8 คลอง และคลองย่อยอีก 36 คลอง ถูกบีบจมูกไม่ให้หายใจ น้ำไม่ไหลเวียน ไม่โดนแดด และเกิดการเน่าเสียอย่างรุนแรง ทำให้ระบบนิเวศเสียหายและชาวบ้านริมคลองเดือดร้อน ตนได้อภิปรายเรื่องนี้ในสภา กทม.มา 2-3 รอบแล้ว
นอกจากนี้ ยังมีปัญหาเรื่องน้ำท่วมและน้ำเซาะตลิ่ง ซึ่งฝ่ายบริหาร กทม. แจ้งว่าจะออกสำรวจและตั้งงบประมาณเพื่อขอจัดสรรจากรัฐบาลกลางในรูปแบบงบกลางเร่งด่วนในปี 2570
ส่วนเป้าหมายทางการเมืองในอนาคต นายวิรัชเปิดเผยว่า หลังจากการเลือกตั้งครั้งนี้แล้วเสร็จ วันที่ 22 พฤษภาคม 2569 ตนจะหมดวาระ ส.ก. และคาดว่า เดือนกรกฎาคม 2569 ตนจะยุติบทบาททางการเมืองทั้งหมด เนื่องจากอายุ 71 ปี แล้ว