ท่ามกลางวิกฤตสภาพภูมิอากาศที่ทวีความรุนแรงและปัญหา โลกร้อน ที่ส่งผลกระทบทั่วโลก ภาคเกษตรกรรม ถูกจับตามองในฐานะหนึ่งในแหล่งปล่อย ก๊าซเรือนกระจก หลักของโลก โดยมีข้อมูลชี้ว่า ภาคเกษตรกรรมปล่อยก๊าซเรือนกระจกมากถึงหนึ่งในสามของปริมาณทั้งหมด ขณะที่ภาคเกษตรกรรมของไทยเพียงภาคเดียวก็มีส่วนถึง 15.03% ของการปล่อยก๊าซเรือนกระจกทั้งหมดในปี 2023 กิจกรรมหลักที่เป็นต้นเหตุ เช่น การปลูกข้าว การใช้ปุ๋ยเคมี การเผาเศษวัสดุเหลือทิ้ง และการเลี้ยงปศุสัตว์ ซึ่งล้วนเป็นปัจจัยสำคัญที่เร่งให้เกิดภาวะโลกร้อนอย่างต่อเนื่อง
แนวทางการทำ เกษตรกรรมแบบดั้งเดิม (Conventional Agriculture) ที่เน้นการใช้เครื่องจักรกลหนักและสารเคมีจำนวนมาก แม้จะช่วยเพิ่มผลผลิตในระยะสั้น แต่กลับทำลายสมดุลของธรรมชาติและเร่งให้ดินเสื่อมโทรมจนขาดความอุดมสมบูรณ์ การศึกษาหลายชิ้นชี้ว่า หากไม่มีการฟื้นฟูระบบนิเวศทางการเกษตรอย่างจริงจัง ภายใน 50 ปีข้างหน้า โลกอาจไม่มีพื้นที่เพียงพอสำหรับการผลิตอาหารเพื่อเลี้ยงประชากรที่เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว ยิ่งไปกว่านั้น ปี 2023 ถือเป็นปีที่โลกมีอุณหภูมิเฉลี่ยสูงที่สุดนับตั้งแต่มีการบันทึกในปี 1850 สะท้อนว่า ปัญหาโลกร้อนได้ลุกลามถึงจุดที่ยากต่อการควบคุม หากไม่เร่งปรับเปลี่ยนแนวทางเกษตรกรรมในทันที
ในท่ามกลางความท้าทายนี้ “เกษตรกรรมเชิงฟื้นฟู” (Regenerative Agriculture) ได้รับการยอมรับว่าเป็นแนวทางใหม่ที่สามารถช่วยบรรเทาผลกระทบจากภาคเกษตรกรรมต่อสิ่งแวดล้อม และเป็นความหวังใหม่ของโลกการเกษตรที่ยั่งยืนอย่างแท้จริง เกษตรกรรมเชิงฟื้นฟูแตกต่างจากเกษตรดั้งเดิมโดยสิ้นเชิง เพราะมุ่งเน้นการ “ฟื้นฟูและสร้างความสมบูรณ์ของดินและระบบนิเวศ” แทนการเร่งผลิตเพื่อผลลัพธ์ระยะสั้น แนวทางนี้ให้ความสำคัญกับการลดการใช้สารเคมี ลดการไถพรวนดินเพื่อลดการสูญเสียคาร์บอนที่สะสมอยู่ในดิน การปลูกพืชหมุนเวียน และการทำเกษตรแบบผสมผสาน เพื่อเพิ่มความหลากหลายทางชีวภาพและกักเก็บคาร์บอนในดินได้อย่างมีประสิทธิภาพ
ความแตกต่างที่เด่นชัดระหว่างเกษตรกรรมทั้งสองแนวทาง คือ “เป้าหมาย” ของการผลิต เกษตรกรรมดั้งเดิมมุ่งเน้นผลผลิตสูงสุดโดยอาศัยปุ๋ยเคมีและยาฆ่าแมลง ซึ่งแม้ให้ผลตอบแทนเร็ว แต่กลับทำให้ดินเสื่อมและลดความหลากหลายทางชีวภาพจากการปลูกพืชเชิงเดี่ยว ในขณะที่เกษตรกรรมเชิงฟื้นฟูให้ความสำคัญกับ “สุขภาพของดินและระบบนิเวศ” ควบคู่กับการผลิตที่ยั่งยืนในระยะยาว เกษตรกรในแนวทางนี้จะเน้นการเพิ่มอินทรียวัตถุในดินผ่านการปลูกพืชคลุมดินหรือการทำปุ๋ยหมัก ใช้ทรัพยากรอย่างมีประสิทธิภาพ และส่งเสริมการควบคุมศัตรูพืชด้วยวิธีธรรมชาติ เช่น การใช้สารสกัดจากพืชหรือแมลงศัตรูธรรมชาติแทนสารเคมีสังเคราะห์
แม้ว่าการเปลี่ยนผ่านสู่เกษตรกรรมเชิงฟื้นฟูอาจต้องใช้เวลาและการลงทุนในระยะเริ่มต้น แต่ผลลัพธ์ที่ได้รับกลับคุ้มค่าในระยะยาว ไม่เพียงช่วยลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกและเพิ่มความยืดหยุ่นให้กับระบบนิเวศเท่านั้น แต่ยังสร้างความมั่นคงทางอาหารและรายได้ที่ยั่งยืนให้กับเกษตรกรไทย การนำแนวทางนี้ไปปรับใช้จึงไม่ใช่เพียง “ทางเลือก” อีกต่อไป แต่คือ “ทางรอด” ของเกษตรกรรมไทยในยุควิกฤตโลกร้อนที่ไม่มีใครหลีกเลี่ยงได้
#เกษตรกรรมเชิงฟื้นฟู #RegenerativeAgriculture #ทางรอดเกษตรไทย #วิกฤตโลกร้อน #เกษตรยั่งยืน #ก๊าซเรือนกระจก